ถุงเก็บอสุจิอักเสบ (Epididymitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 20 มีนาคม 2562
- Tweet
- บทนำ
- ถุงเก็บอสุจิอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบ?
- ถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบได้อย่างไร?
- รักษาถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบอย่างไร?
- ถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- มีผลข้างเคียงจากถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- ป้องกันถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธุ์ชาย (Anatomy and physiology of male reproductive organ)
- อัณฑะอักเสบ (Orchitis)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กามโรค (STD: Sexually transmitted disease)
- หนองใน (Gonorrhea)
- หนองในเทียม (Chlamydia infection)
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
- วัณโรค (Tuberculosis)
- ต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ (Bacterial prostatitis)
- น้ำอสุจิเป็นเลือด (Blood in semen)
บทนำ
ถุงเก็บอสุจิอักเสบ (Epididymitis) คือ การอักเสบติดเชื้อของถุง/ท่อเก็บอสุจิที่ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ส่งผลให้ถุงเก็บอสุจิ อักเสบ เจ็บ บวม แดง และอุ่น/ร้อนกว่าปกติ โดยอาจมีอาการทางปัสสาวะ และอาจร่วมกับมีน้ำอสุจิเป็นเลือดได้
ถุง/ท่อเก็บอสุจิ(Epididymis) เป็นอวัยวะสืบพันธ์ชาย มีลักษณะเป็นท่อขดขนาดยาวที่อยู่ติดต่อกับอัณฑะ โดยเป็นส่วนที่ใช้เก็บตัวอสุจิก่อนที่จะปล่อยเข้าสู่ท่อ/หลอดนำอสุจิที่จะปล่อยอสุจิออกจากอัณฑะเข้าสู่ท่อปัสสาวะต่อไป(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธ์ชาย)
การอักเสบของถุงเก็บอสุจิ/ถุงหรือท่อเก็บอสุจิอักเสบ(Epididymitis) มักมีสาเหตุจากติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งที่พบบ่อยคือจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะ โรคหนองใน และโรคหนองในเทียมที่มีผลให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งการอักเสบนี้พบเกิดได้ทั้งกับถุงเก็บอสุจิเพียงข้างเดียว หรือทั้ง2 ข้างพร้อมกัน
อนึ่ง การอักเสบของถุงเก็บอสุจิ
- เมื่อถุงเก็บอสุจิอักเสบ โดยมีอาการไม่เกิน 6 สัปดาห์เรียกว่า “ถุงเก็บอสุจิอักเสบเฉียบพลัน” ที่มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- แต่ถ้ามีอาการเรื้อรังนาน 6 สัปดาห์ขึ้นไป เรียกว่า “ถุงเก็บอสุจิอักเสบเรื้อรัง” ที่มักเกิดจากการติดเชื้อวัณโรค
- และถ้าการอักเสบนี้เกิดร่วมกับอัณฑะอักเสบ ซึ่งพบเกิดร่วมกันได้บ่อย จะเรียกว่า “Epididymo-orchitis”
ถุงเก็บอสุจิอักเสบพบเกิดได้ทั้งใน เด็ก ในผู้ใหญ่ไปจนถึงในผู้สูงอายุ โดยทั่วไปมักพบเป็นการอักเสบเฉียบพลัน ที่ประมาณ 40%พบในช่วงวัย 20-39 ปีซึ่งมักเป็นการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, แต่การอักเสบที่พบในเด็กและในวัยอื่นๆ มักเป็นการติดเชื้อจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งรวมถึงต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อที่มักเกิดในวัยกลางคนขึ้นไป ทั้งนี้ในสหรัฐอเมริกามีรายงานพบโรคนี้ในแต่ละปีได้ 1 ในผู้ชาย 1,000 ราย ประมาณ 0.69% ของผู้ชายวัย 18-50ปี
ถุงเก็บอสุจิอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
ถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบ มักมีสาเหตุจากถุงนี้ติดเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะ โรคหนองใน และ โรคหนองในเทียม
อาจพบจากการติดเชื้อที่ต่อเนื่องจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ที่รวมถึง โรคต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ แบคทีเรีย เช่นเชื้อ E.coli (Escherichia coli), Pseudomonas, Proteus, Enterobacter, Klebsiella, Staphylococcus หรือเชื้อที่ก่อให้เกิดถุงเก็บอสุจิติดเชื้อแบคทีเรียเรื้อรัง เช่น วัณโรค
นอกจากนั้น อาจพบถุงเก็บอสุจิอักเสบโดย’ไม่ติดเชื้อได้’ สาเหตุนี้พบน้อยมาก โดยมักเกิดจากผลข้างเคียงของยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยา Amiodarone ที่รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบ?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบ ได้แก่
- มีเพศสัมพันธ์ส่ำส่อน
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยชาย
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้เพิ่งติดเชื้อ หรือเคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- มีประวัติเคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ใส่คาสายสวนปัสสาวะ เช่น ในผู้ป่วยอัมพาต
- ผู้เคยมีประวัติผ่าตัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับอวันวะเพศชาย เช่น ผ่าตัดต่อม ลูกหมาก
- มีโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ซ้ำๆ บ่อยๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ
- มีความพิการแต่กำเนิดของอวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะ
- ผู้ป่วยวัณโรคปอด
- ผู้ป่วยใช้ยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่นยา Amiodarone
ถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการของถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวด/เจ็บ และปวดหน่วง อัณฑะ/ถุงอัณฑะ อาจปวดน้อยหรือปวดมากก็ได้ โดยปวดในด้านที่มีอัณฑะอักเสบ
- อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย
- อัณฑะ/ถุงอัณฑะ บวม โดยบวมในด้านที่มีอัณฑะอักเสบ อาจมีอาการ บวม แดง ร้อน ของถุงอัณฑะ บางครั้งอาจคลำได้ก้อนในถุงอัณฑะ/ที่อัณฑะ โดยก้อนนี้จะเจ็บเมื่อมีการคลำ
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปวด เจ็บ เมื่อปัสสาวะ และ/หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และ/หรือเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิ
- ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด
- มีหนอง หรือสารคัดหลั่งจากปากท่อปัสสาวะ
- อาจมีน้ำอสุจิเป็นเลือด
- ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต คลำได้ อาจโตข้างเดียวหรือ 2 ข้าง มักมีอาการเจ็บร่วมด้วย
- อาการทั่วไปที่เช่นเดียวกับการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ เช่น มีไข้ที่มักเป็นไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาจอาเจียน
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้ออาการฯ’ และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 1-2 วัน ควรต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ แต่เมื่อมีอาการมากโดยเฉพาะอาการปวดอัณฑะมาก อาจร่วมกับบวม/เป็นก้อน ต้องรีบมาโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นอาการของอัณฑะบิดตัว /อัณฑะบิดขั้ว(Testicular torsion)ที่ต้องได้รับการรักษารีบด่วนด้วยการผ่าตัด
แพทย์วินิจฉัยถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบ ได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ การเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวในหัวข้อ” ปัจจัยเสี่ยงฯ” ประวัติการสัมผัสโรค เช่น ประวัติเพศสัมพันธ์ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยาต่างๆ
- การตรวจร่างกาย การตรวจคลำอัณฑะ/ถุงอัณฑะและอวัยวะเพศ
- การตรวจทางทวารหนักกรณีสงสัยสาเหตุจากโรคของต่อมลูกหมาก
- การตรวจเลือด ดูCBC, ดูสารภูมิต้านทาน, และ/หรือสารก่อภูมิต้านทานของโรคที่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุ
- การตรวจปัสสาวะ
- การตรวจเชื้อ/การเพาะเชื้อจากปัสสาวะและจากสารคัดหลั่ง
- และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจภาพอัณฑะด้วยอัลตราซาวด์
รักษาถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบอย่างไร?
แนวทางการรักษาถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบ คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ
ก. การรักษาสาเหตุ: จะเป็นการรักษาที่ต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามแต่สาเหตุที่ต่างกัน เช่น
- การให้ยาปฏิชีวนะกรณีเกิดจากอัณฑะอักเสบจากติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ หรือจากต่อมลูกหมากอัเสบติดเชื้อ
- การหยุดยานั้นๆเมื่อการอักเสบเกิดจากผลข้างเคียงของยานั้นๆ
- กรณีอัณฑะอักเสบมากจนเกิดเป็นหนอง การรักษาอาจต้องเป็นการผ่าตัดเพื่อระบายหนองออก
- การผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติแต่กำเนิดของอวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะกรณีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะแต่กำเนิด
ข. การรักษาประคับประคองตามอาการ: ซึ่งเป็นการรักษาเหมือนกันในผู้ป่วยทุกราย เช่น
- การให้ยาแก้ปวด/ ยาลดไข้ Paracetamol หรือยาในกลุ่ม NSAIDs
- ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
ถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
โดยทั่วไป ถุง/ท่อเก็บอสุจิอักเสบ มีการพยากรณ์โรคที่ดี สามารถรักษาหายได้ แต่โรคสามารถย้อนกลับเป็นซ้ำได้เสมอ ถ้ากลับไปสัมผัสโรคอีก นอกจากนั้น ยังไม่มีรายงานของโรคนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งอัณฑะ
มีผลข้างเคียงจากถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบอย่างไร?
โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงจากถุง/ท่ออัณฑะอักเสบ แต่มีรายงานในผู้ป่วยที่มีอัณฑะอักเสบร่วมด้วย อาจพบภาวะมีบุตรยากจากการเกิดอัณฑะฝ่อตามมาได้
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อมีอัณฑะอักเสบหลังพบแพทย์แล้ว คือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ร่างกายฟื้นตัวจากโรคได้รวดเร็ว
- งดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายดี
- ประคบเย็นเป็นระยะๆที่อัณฑะ/ถุงอัณฑะเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดอัณฑะ
- สวมใส่ชุดช่วยพยุงอัณฑะ(เหมือนในโรคไส้เลื่อน)เพื่อช่วยประคองถุงอัณฑะ ลดอาการปวด/เจ็บ/ปวดหน่วงอัณฑะ
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ หรือซื้อยาต่างๆใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และ/หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาต่างๆ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลง เช่น ปวด/เจ็บอัณฑะมากขึ้น
- กลับมามีอาการที่รักษาหายแล้ว เช่น มีไข้ มีสารคัดหลั่งจากปากท่อปัสสาวะ ปัสาวะป็นเลือด
- มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น คลำได้ก้อนเนื้อในถุงอัณฑะหรือที่อัณฑะ
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นผื่น ท้องเสียมาก
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบได้อย่างไร?
ป้องกันถุงเก็บอสุจิอักเสบอักเสบได้โดย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพกาย สุขภาพจิต แข็งแรง
- พักผ่อนให้มากๆ ให้เพียงพอ
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์
- ไม่ดื่นสุรา/เครื่องดื่มมีแอลกอฮฮล์ เพราะจะครองสติไม่อยู่ที่จะก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ หรือซื้อยาต่างๆใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และ/หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาต่างๆ
- เมื่อมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะต้องรีบรักษา/พบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
- รู้จักการดูแลตนเองเมื่อต้องใส่คาสายสวนปัสสาวะ(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน”
บรรณานุกรม
- Teylor,S. Clinical Infectious Diseases.2015;61(Suppl8): s770-s773
- Trojian, T. et al. Am Fam Physician. 2009;79(7):583-587
- http://emedicine.medscape.com/article/436154-overview#showall [2019, March2]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Epididymitis [2019, March2]
- https://www.cdc.gov/std/tg2015/epididymitis.htm [2019, March2]