10. ตลาดประกันสุขภาพ – ตอนที่ 56

จากการสอบถาม (Enquiry) ข้อมูลจากโรงพยาบาลต่างๆ บ่งชี้ว่าการบริการส่วนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหลัก โดยเราประเมินว่าการป่วย เล็กน้อยทั่วไป (Simple diseases) จะคิดเป็นสัดส่วน (Proportion) ราว 10% ของรายได้จากประกันสุขภาพเอกชน (Private health insurance)

ในกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) หากบริการนี้หายไปทั้งหมด เราประเมินว่าผลกระทบเชิงลบ (Unfavorable) จะมีจํากัด (Limited) ที่ 2% - 3% ของรายได้รวม (Gross revenue) และ 2% - 4% ของประมาณการกําไร (Profit) ปรกติ ของปี พ.ศ. 2568 สําหรับโรงพยาบาลเอกชนภายใต้การวิเคราะห์ (Analysis) ของเรา

ด้วยค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้ม (Trend) เพิ่มขึ้น เรามองว่าประกันสุขภาพ ไม่ใช่แค่สิ่งจำเป็น (Necessity) ในด้านค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสําหรับการเข้าถึง (Access) การรักษาพยาบาลที่จําเป็นอีกด้วย การที่เบี้ยประกัน (Premium) สุขภาพจะลดลงจากการปรับให้มีร่วมจ่าย (Co-payment) เรามองว่าน่าจะส่งผลกระทบเชิงบวก (Favorable) จากการเพิ่มการสามารถเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนในประเทศไทยในระยะยาว

จากข้อมูลปี พ.ศ. 2566 ของสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) [Office of Insurance Commission: OIC] ประเทศไทยมีผู้ที่มีกรมธรรม์ (Policy) ประกันสุขภาพเอกชนรวมทั้งหมด 25.3 ล้านคน แต่โดยส่วนใหญ่เป็นกรมธรรม์แบบกลุ่ม (Group insurance) เช่น บริษัทต่างๆ) ซึ่งมีจํานวน 20.9 ล้านคน

ในขณะที่กรมธรรม์ แบบรายบุคคล (Individualized) ยังมีค่อนข้างน้อย โดยมีจํานวนเพียง 4.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 6.7% ของประชากร (Population) ทั้งหมด ซึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ที่ 40.8%

และตัวเลขนี้ ตํ่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน (Neighbor) ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 70%, ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ที่ 70%, มาเลเซียซึ่งอยู่ที่ 22%, และอินเดียซึ่งอยู่ที่ 12% สถิตินี้ บ่งชี้ (indicate) ว่าการเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนในประเทศไทย ยังมีโอกาส (Opportunity) ที่จะปรับตัว (Adjust) เพิ่มขึ้นได้อีก และจะทําให้ความต้องการ (Demand) ใช้บริการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว

ข้อมูลจากการที่โรงพยาบาลในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ (Bangkok Dusit Medical Services: BDMS) ระบุว่า รายได้จากผู้ป่วยคนไทยที่มีประกันสุขภาพเอกชนคิดเป็นสัดส่วนสูงที่ 31% ของรายได้รวม เราเห็นว่าตลาดดูเหมือนจะมีมุมมองเชิงลบต่อ BDMS เนื่องจากราคาหุ้น (Stock price) ปรับตัวลดลง มาแล้ว 17% จากจุดสูงสุดล่าสุด โดยซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price/Earnings: PE) ปี พ.ศ. 2568 ที่ 23 เท่า หรือตํ่ากว่า -2SD ของค่าเฉลี่ย

ในอดีต เรามองว่าราคาหุ้นลดลงมากเกินไปเมื่อพิจารณาจากผลกระทบระยะสั้นที่คาดว่าจะมีจำกัด เราคงคําแนะนําว่า ผลงานน่าจะปรับปรุงดีขึ้น (Outperform) สำหรับราคาเป้าหมายสิ้นปี พ.ศ. 2568 โดยอ้างอิงวิธีกระแสเงินสดที่คิดส่วนลดแล้ว (Discounted cash flow: DCF) ที่ 36 บาท/หุ้น และโดยอ้างอิงกับต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted average cost of capital: WACC) ที่ 7.1% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%

แหล่งข้อมูล

  1. file:///C:/Users/user/Download/การแพทย์/การประเมินผลกระทบจากการปรับกรมธรรม์ประกันสุขภาพเอกชนให้เป็นแบบร่วมจ่ายมากขึ้น.pdf [2025, April 28].
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Health_insurance_marketplace [2025, April 28].