ชา อาการชา (Numbness)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 7 มีนาคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- อาการชาเกิดได้อย่างไร?
- อาการชามีสาเหตุจากอะไร?
- แพทย์วินิจฉัยสาเหตุอาการชาได้อย่างไร?
- รักษาอาการชาได้อย่างไร?
- อาการชารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันอาการชาได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- โรคเส้นประสาท (Peripheral neuropathy)
- โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- เบาหวาน (Diabetes mellitus)
- วิตามิน บี 1-6-12 (Vitamin B 1- 6 - 12 ) หรือ นิวโรเบียน (Neurobion)
- โรคเส้นประสาทมีเดียนกดทับที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
- โรคไขสันหลัง (Spinal cord disease)
- ภาวะขาดวิตามินบี-1 หรือ โรคเหน็บชา (Vitamin B-1 deficiency หรือ Beriberi)
- ภาวะขาดวิตามินบี-6 (Vitamin B-6 deficiency)
- ภาวะขาดวิตามินบี-12 (Vitamin B-12 deficiency)
- การดูแลเท้าในโรคเบาหวาน (Diabetic foot care)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
ชา หรือ การชา หรือ อาการชา (Numbness) คือ การรู้สึกเป็นเหน็บ เจ็บแปลบปลาบ และการรับสัมผัสลดลงในเนื้อเยื่อผิวหนัง ซึ่งบริเวณที่เกิดอาการบ่อย คือ ปลายมือ ปลายเท้า แขน ขา ลำตัว ไหล่ และใบหน้า ซึ่งชา/อาการชา/การชานี้อาจเกิดเพียงชั่ว คราวแล้วหายไปภายใน 2-5 นาที เช่น จากนั่งนานๆ จึงมีอาการชาที่ก้น หรือ ขา แต่เมื่อลุกขึ้น เปลี่ยนอิริยาบถ อาการชาก็จะหายไป หรือ อาจมีอาการฯเรื้อรัง เช่น เกิดจาก โรคสมอง หรือ โรคไขสันหลัง หรือ โรคเส้นประสาท
เมื่อมีชา/อาการชา/การชาเกิดขึ้นอย่างมากและเฉียบพลันซึ่งมักร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด และ/หรือ แขนขาอ่อนแรง ซึ่งเกิดจากสมองขาดเลือด (อัมพาต: โรคหลอดเลือดสมอง) เรียกว่า “อาการชาเฉียบพลัน”
แต่ถ้าชา/อาการชา/การชา มีไม่มาก ไม่รุนแรง แต่เกิดต่อเนื่องเรื้องรัง เช่น ชาปลายเท้า หรือ ตลอดทั้งขาจากโรคหมอนรองกระดูก (ปวดหลัง: ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง) เรียกว่า “อาการชาเรื้อรัง”
ชา/การชา/อาการชา เป็นอาการพบบ่อย พบทุกอายุตั้งแต่เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก) จนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบในผู้ใหญ่และในผู้สูงอายุมากกว่าในเด็ก
ชา/การชา/อาการชา เป็นอาการของโรค ไม่ใช่ตัวโรค(โรค-อาการ-ภาวะ) ยังไม่มีรายงานสถิติเกิดที่ชัดเจน เพราะโดยทั่วไปสถิติทางการแพทย์มักศึกษาในเรื่องของสาเหตุ ไม่ค่อยศึกษาถึงสถิติเกิดแยกเป็นในเรื่องของอาการเพียงอย่างเดียว
อาการชาเกิดได้อย่างไร?
ชา/การชา/อาการชา เกิดจาก
- มีการกดทับหลอดเลือด และ/หรือ จากโรคหลอดเลือด จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆที่อยู่ตามปลายมือ ปลายเท้า มือ เท้า โดยเฉพาะเนื้อเยื่อผิวหนังได้รับเลือดไม่เพียงพอ รวมทั้งปลายประสาทที่อยู่ในเนื้อเยื่อส่วนนี้ด้วย จึงก่อให้เกิดการไม่รับรู้ หรือลดความรู้สึก ซึ่งก็คือ ชา/อาการชา/การชา
- และอีกสาเหตุ คือ เกิดจากโรคสมอง, โรคไขสันหลัง, และ/หรือ โรคเส้นประสาท เช่น อักเสบ บาดเจ็บ และ/หรือ การเสื่อม ของเซลล์ต่างๆของอวัยวะดังกล่าว ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ มีหน้าที่รับรู้ความรู้สึกโดยตรง ดังนั้นเมื่อเกิดโรคขึ้น จึงส่งผลถึงการรับรู้ความรู้สึกที่ผิดปกติไป ซึ่งคือ ชา/การชา/อาการชานั่นเอง
อาการชามีสาเหตุจากอะไร?
สาเหตุที่ทำให้เกิดชา/การชา/อาการชาเฉียบพลัน และ/หรืออาการชาเรื้อรัง ที่พบบ่อย ได้แก่
ก. อาการชาเฉียบพลัน: สาเหตุที่พบบ่อย คือ
- จากการกดทับหลอดเลือด และ/หรือเส้นประสาทจากการ นั่ง ยืน นอน นานๆ
- การอยู่ในบางท่าทางซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนผิดที่ของข้อกระดูก ส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ซึ่งเมื่อเปลี่ยนท่าทาง อาการชาจะหายไป เช่น จากการใช้งานคอมพิวเตอร์ การนั่ง หรือ การนอนในบางท่าทางบางท่านานๆ เป็นต้น
- โรคอัมพาต: โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคสมองอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ
- จากอุบัติเหตุต่อ สมอง ไขสันหลัง และ/หรือต่อเส้นประสาท
- เกิดตามหลังอาการชัก
- ได้รับพิษบางชนิดจากสัตว์ แมลง กัด ต่อย เช่นพิษจาก งู แมงมุม หรือ ผึ้ง
- จากการแพ้ยา (อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา)
- ได้รับสารพิษบางชนิดจากอาหาร เช่น การกินเห็ดพิษ อาหารทะเลที่มีสารพิษ หรือ การแพ้อาหารบางชนิด
- บางครั้งอาจจากปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น ความเครียด ความกลัว
ข. อาการชาเรื้อรัง: มักเกิดจากโรคเรื้อรังของ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท และ ปลอกประสาท ซึ่งที่พบบ่อย ได้แก่
- การกดทับเส้นประสาท เช่น อาการชาที่ฝ่ามือด้านหัวแม่มือจากเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ (โรคเส้นประสาทมีเดียนกดทับที่ข้อมือ/Carpal tunnel syndrome) หรือจากโรคหมอนรองกระดูก (ปวดหลัง: ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง)
- จากอาการชักเรื้อรัง
- โรคสมองอักเสบที่ไม่ใช่จากติดเชื้อ เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
- โรคสมองอักเสบจากติดเชื้อ ซึ่งรักษาหายแล้วแต่ยังมีเซลล์ประสาทเสียหายถาวร
- จากโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เนื้อเยื่อผิวหนังที่ปลายแขน/ขา จึงขาดเลือด
- จากอัมพาต: โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุได้ทั้งอาการชาเฉียบพลันและอาการชาเรื้อรัง
- โรคอื่นๆที่ก่อการอักเสบของทั้งเนื้อเยื่อและเส้นประสาท เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น
- โรคอื่นๆที่ส่งผลถึงการทำงานของเนื้อเยื่อประสาทและสมอง เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- โรคปวดศีรษะไมเกรน
- โรคที่ก่ออาการบวมเรื้อรังของ มือ เท้า แขน ขา เพราะเนื้อเยื่อที่บวมจะกดทับเส้นประสาท จึงก่ออาการชา เช่น โรคตับแข็ง และภาวะขาดอาหารโปรตีน
- ภาวะขาดวิตามินบี1 และ/หรือ ภาวะขาดวิตามิน6, และ/หรือ ภาวะขาดวิตามินบี12 ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท
- จากร่างกายได้รับสารพิษเรื่อรัง เช่น จาก บุหรี่ สุรา หรือ โลหะหนัก (เช่น สารตะกั่ว สารปรอท)
- จากอุบัติเหตุที่ก่อการบาดเจ็บเสียหายถาวรของ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท และ/หรือปลอกประสาท
- โรคเนื้องอก หรือ โรคมะเร็งของ สมอง ไขสันหลัง หรือ ของเส้นประสาท
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดบางชนิด
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุอาการชาได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยชา/การชา/อาการชา ได้จาก
- การซักถามประวัติอาการต่างๆของผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน รวมถึงประวัติการใช้ยาต่างๆ
- การตรวจร่างกายทั่วไป
- การตรวจร่างกายทางระบบประสาท แนะนำอ่านเพิ่มเติมจากเว็บ haamor.comบทความเรื่อง วิธีตรวจวินิจฉัยโรคระบบประสาทตอนที่1(การตรวจร่างกายทางระบบประสาท), และเรื่อง วิธีตรวจวินิจฉัยโรคระบบประสาทตอนที่2 (การตรวจสืบค้นโรคระบบประสาท)
- การตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมที่ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง
- การตรวจภาพ สมอง หรือ ไขสันหลัง ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน) และ/หรือ ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเอมอาร์ไอ (MRI)
รักษาอาการชาได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาชา/อาการชา/การชา คือ การรักษาสาเหตุดังนั้นจึงต่างกันในแต่ละผู้ป่วยเป็นกรณีๆไปตามแต่ละสาเหตุ เช่น
- เมื่อเกิดจากการกดทับจากอิริยาบถต่างๆ การรักษาก็คือ การปรับเปลี่ยนอิริยาบถนั้นๆ เช่น ไม่นั่งพบเพียบท่าเดียวนานๆ เป็นต้น
- กินอาหารมีวิตามินบีสูง หรือ กินวิตามินบีเสริมอาหารตามแพทย์แนะนำเมื่ออาการเกิดจากขาดวิตามินบี เช่น ภาวะขาดวิตามินบี1, ภาวะขาดวิตามินบ6, ภาวะขาดวิตามินบี12
- ปรับพฤติกรรมในการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่ออาการเกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์
- รักษาอัมพาต:โรคหลอดเลือดสมองด้วยยาต่างๆร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเมื่ออาการเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง
- การผ่าตัดเมื่อโรคเกิดจากมีการกดเบียดทับเส้นประสาท เช่น จากเนื้องอกของเส้นประสาทเอง, เนื้องอกสมอง, มะเร็งสมอง, โรคเส้นประสาทมีเดียนกดทับที่ข้อมือ, ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง
อาการชารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของชา/อาการชา/การชาขึ้นกับสาเหตุ เช่น
- เมื่อเกิดจากอิริยาบถ มักเป็นอาการไม่รุนแรง
- แต่ถ้าเกิดจากโรคหมอนรองกระดูก (ปวดหลัง: ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง) อาการชาจะรุนแรงปานกลาง
- แต่ถ้าเกิดจากอัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคมะเร็ง อาการชาจะเป็นอาการที่รุนแรง
ดังนั้นชา/อาการชา/การชา ของแต่ละคนจึงมีความรุนแรง/การพยากรณ์โรคต่างกันตามแต่ละสาเหตุ แพทย์ผู้รักษาเท่านั้นที่จะให้การพยากรณ์โรคในแต่ละผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
ส่วนผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนจากชา/อาการชา/การชา มักเกิดจากอาการชาเรื้อรัง ที่ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดความรู้สึก จึงเกิดแผลเรื้อรังได้ง่าย และมักเป็นแผลรักษายาก และติดเชื้อได้ง่าย จากขาดการดูแลเพราะ ไม่รู้สึกเจ็บ หรือ ไม่รู้สึกว่ามีแผลเกิดขึ้นนั่นเอง เช่น แผลที่เท้าในโรคเบาหวาน เป็นต้น
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง และการพบแพทย์ เมื่อมีชา/การชา/อาการชา คือ
- เคลื่อนไหวร่างกาย เปลี่ยนอิริยาบถ บ่อยๆ
- รักษา ควบคุม โรคต่างๆที่เป็นสาเหตุให้ได้ดี และต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆที่เกิดอาการชา เพราะจะเกิดผลข้างเคียงดังได้กล่าวแล้ว เช่น การดูแลเท้าในโรคเบาหวาน เป็นต้น
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิด โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน (ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆที่จะส่งผลถึงโรคหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง) และเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่/แร่ธาตุ
- จำกัดอาหารไขมันให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็ง หรือเพื่อไม่ให้โรคหลอดเลือดแดงแข็งรุนแรงขึ้น
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำกรณีพบแพทย์/มาโรงพยาบาลแล้ว
- ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เมื่อมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมกับอาการชา เช่น
- อาการชาเกิดขึ้นบ่อยหรือเรื้อรังโดยผู้ป่วยเองไม่รู้สาเหตุ
- มีอาการชาร่วมกับ ปวดต้นคอ และ/หรือ มีอาการผิดปกติในการขับถ่าย เพราะเป็นอาการของโรคหมอนรองกระดูกส่วนคอ
- มีอาการ ปวดหลัง ปวดขา และอาการผิดปกติในการขับถ่าย เพราะเป็นอาการของโรคหมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอว(ปวดหลัง:ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง)
- มีไข้ อาจร่วมกับมีผื่นขึ้น เพราะอาจเป็นอาการของโรคสมองอักเสบ
- เมื่อมีความกังวลในอาการชา
- ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน/ทันทีเมื่อมีอาการชาร่วมกับ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- อุจจาระ ปัสสาวะไม่ออก
- สับสน
- หมดสติ
- มีอาการพูดไม่ชัด
- ปากเบี้ยว
- ตาพร่า/ตาเห็นภาพไม่ชัด
- หลังการได้รับอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุต่อ สมอง ศีรษะ ลำคอ และ/หรือ ไขสันหลัง
ป้องกันอาการชาได้อย่างไร?
การป้องกันอาการชา คือ การป้องกันสาเหตุ(ดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ สาเหตุฯ’)ที่ป้องกันได้ ที่สำคัญ คือ
- เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
- จำกัดอาหาร ไขมัน แป้ง น้ำตาล เค็ม
- ป้องกัน รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุต่างๆโดยเฉพาะต่อ ศีรษะ สมอง และไขสันหลัง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องการติดเชื้อกับอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลาง เช่น โรคสมองอักเสบ
บรรณานุกรม
- Azhary, H. et al. (2010). Peripheral neuropathy: differential diagnosis and management. Am Fam Physician. 81, 887-892.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- https://medlineplus.gov/ency/article/003206.htm [2021,March6]
- https://www.msdmanuals.com/professional/neurologic-disorders/symptoms-of-neurologic-disorders/numbness [2021,March6]