กลุ่มอาการจีบีเอส กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (GBS หรือ Guillain-Barre syndrome)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 8 กรกฎาคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- กลุ่มอาการจีบีเอสมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- กลุ่มอาการจีบีเอสมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
- รักษากลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
- กลุ่มอาการจีบีเอส รุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดุแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันกลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- โรคไขสันหลัง (Spinal cord disease)
- โรคภูมิต้านตนเอง โรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease)
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG)
- โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพาต (Stroke): 10 เรื่องใกล้ตัวที่ต้องรู้
- อัมพาต: 270 นาทีชีวิต (Stroke Fast Track)
- การเจาะน้ำไขสันหลัง การเจาะหลัง (Lumbar puncture)
- วัคซีนเอ็ม เอ็ม อาร์ หรือ วัคซีน หัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR vaccine)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
กลุ่มอาการที่เรียกย่อว่า กลุ่มอาการ/โรคจีบีเอส (GBS) หรือ กลุ่มอาการ/โรคกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barre syndrome) คือ โรค/กลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบเฉียบพลันของเส้นประสาทหลายๆเส้นพร้อมๆกันจนก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน ซึ่งในรายที่รุนแรง อาจถึงขั้นเป็นอัมพาต, อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจด้วยสาเหตุจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต, อาจก่อให้เกิดภาวะปอดติดเชื้อจนเกิดปอดบวม จนเป็นสาเหตุให้ตายได้, หรืออาจก่อให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ตายได้เช่นกัน
กลุ่มอาการจีบีเอส เป็นโรคพบทุกเชื้อชาติทั่วโลก มีรายงานจากประเทศตะวันตก ในแต่ละปีพบอัตราเกิดประมาณ 0.9-1.9 รายต่อประชากร 100,000 คน เป็นโรคพบทุกอายุ แต่พบน้อยในเด็กอ่อน(นิยามคำว่าเด็ก) และอัตราเกิดจะค่อยๆสูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งอายุที่พบโรคได้สูงสุดมี 2 ช่วงอายุ คือที่ประมาณ 15-35 ปี และ 50-75 ปี ทั้งนี้ พบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิงประมาณ 1.5-1.8 เท่า
อนึ่ง:โรคนี้ได้ชื่อจากแพทย์ชาวฝรั่งเศส 2 คนคือ นพ. Georges Guillain และ นพ.Jean Alexandre Barré ที่ร่วมกันรายงานถึงวิธีวินิจฉัยโรคนี้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1916 (พ.ศ. 2459)
กลุ่มอาการจีบีเอสมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
โรค/กลุ่มอาการจีบีเอส เกิดจากร่างกายสร้างสารภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อเส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral nerve)หลายๆเส้นพร้อมๆกัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและการเสื่อมของเส้นประสาทส่วนที่เรียกว่า ‘ปลอกประสาท (Myelin sheath)’ ซึ่งโรคนี้ จัดเป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองแต่เป็นชนิดที่สารภูมิต้านทาน ต้านตนเองเฉพาะเส้นประสาทส่วนปลายเท่านั้น ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่นๆ
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานเหล่านี้ แต่พบปัจจัยเสี่ยง คือ
- ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยกลุ่มอาการจีบีเอส มีอาการเกิดตามหลังโรคติดเชื้อไวรัส และติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ/โรคระบบทางเดินหายใจ (เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ) หรือโรคระบบทางเดินอาหาร (เช่น มีไข้ ท้องเสีย ปวดท้อง) โดยมักมีอาการเกิดตามหลังการติดเชื้อเหล่านั้นประมาณ 3 สัปดาห์
- ส่วนผู้ป่วยอีก 1 ใน 3 แพทย์หาปัจจัยเสี่ยงไม่พบ
นอกจากนั้น มีรายงานประปรายว่า กลุ่มอาการจีบีเอส สามารถเกิดตามหลัง
- การได้รับวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่, วัคซีนโรคหัด(ปัจจุบันเป็นวัคซีนรวมหลายโรคในเข็มเดียวกันที่เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์)
- ตามหลังการผ่าตัด
- ตามหลังการเกิดภาวะความเครียด
- อาจเกิดร่วมกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
กลุ่มอาการจีบีเอสมีอาการอย่างไร?
โรค/อาการของกลุ่มอาการจีบีเอส เป็นอาการที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างเฉียบพลัน โดยมักเกิดอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั้งสองข้างซ้ายขวาเท่าๆกันและในลักษณะเหมือนๆกัน (Symmetric weakness) และมักเริ่มเกิดที่กล้ามเนื้อขาก่อน ต่อจากนั้น การอ่อนแรงจึงลุกลามไปยังกล้ามเนื้อต่างๆทั่วตัว ที่สำคัญและเป็นสาเหตุให้ตายได้ คือ กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรงจนไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเองจนจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา
ทั้งนี้ บางคนที่อาการรุนแรง อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจลุกลามทั่วตัวภายในระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง แต่ที่รุนแรงน้อยกว่า อาการจะลุกลามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนถึงขีดสูงสุดภายในระยะเวลาประมาณ 28 วัน (ประมาณ 70% ของผู้ป่วยอาการจะถึงขีดสูงสุดภายใน 1 สัปดาห์)
ซึ่งหลังจากอาการถึงขีดสุดแล้ว อาการจะทรงตัว และค่อยๆฟื้นตัวช้าๆ อาจใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือ เป็นปี โดย
- อาจฟื้นตัวได้เป็นปกติ หรือ
- ยังคงมีกล้ามเนื้อบางตำแหน่งอ่อนแรงบ้าง
- ประมาณ 10-20% จะมีความพิการตลอดไป และ
- ประมาณ 10-15% จะตายจาก ภาวะหายใจล้มเหลว, และ/หรือ ปอดบวมรุนแรง,
ทั้งนี้ อาการอื่นๆที่อาจพบร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น
- ปวดกล้ามเนื้อมัดที่เกิดการอ่อนแรง
- เจ็บแปลบ ซ่า ชา กล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรง
- ปวดหลัง
- อาจเคลื่อนไหว ตา กล้ามเนื้อใบหน้า และ/หรือ เคี้ยวอาหาร/ กลืนอาหาร ไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อมัดใดอักเสบ/ เสื่อม
- หายใจไม่ได้ ถ้าเส้นประสาทกล้ามเนื้อซี่โครง/กล้ามเนื้อหายใจ อักเสบ/เสื่อม
- ถ้าเส้นประสาทกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ/เสื่อม จะเกิดหัวใจเต้นผิดปกติ (หัวใจเต้นผิดจังหวะ)
- ถ้าเส้นประสาทกล้ามเนื้อลำไส้ และ/หรือกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ/เสื่อม จะมีอาการผิดปกติทางการขับถ่าย เช่น ท้องผูกอย่างมากเพราะลำไส้ไม่เคลื่อนไหว และ/หรือ ปัสสาวะไม่ออกเพราะกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัว ต้องใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ เป็นต้น
- อาจมีความดันโลหิตสูง หรือความดันโลหิตต่ำ
- อาจมีลิ่มเลือดเกิดในหลอดเลือดต่างๆ เช่น หลอดเลือดในปอด, หลอดเลือดที่ขา
แพทย์วินิจฉัยลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรค/กลุ่มอาการจีบีเอสได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการต่างๆ ประวัติการเจ็บป่วยที่ผ่านมา ประวัติการฉีดวัคซีน
- การเจาะน้ำไขสัน: เพื่อน้ำไขสันหลัง/น้ำในโพรงสมองและไขสันหลัง(ซีเอสเอฟ:CSF)มาตรวจ โดยโรคนี้มักมีโปรตีนปนในน้ำไขสันหลัง และตรวจไม่พบมีเซลล์อักเสบหรือมีเซลล์อักเสบน้อยมาก น้อยกว่า 10 เซลล์
- นอกจากนั้น เป็นการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติม ตามอาการของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เพื่อแยกจากโรคต่างๆของ สมอง ไขสันหลัง หรือ กล้ามเนื้อ เช่น
- ตรวจเลือดดูค่าสารภูมิต้านทานของโรคต่างๆที่แพทย์สงสัย
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG, Electroencephalogram)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyogram)
- การตรวจการสื่อนำหรือการชักนำของเส้นประสาท (Nerve conduction studies)
- การตรวจภาพสมองและ/หรือไขสันหลังด้วย เอมอาร์ไอ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน)
รักษากลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรค/กลุ่มอาการจีบีเอส ได้แก่ การรักษาตามอาการ, และการรักษาตัวโรค
ก. การรักษาประคับประคองตามอาการ/การรักษาตามอาการ: เป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในผู้ป่วยโรคนี้ ซึ่งมักต้องเป็นการรักษาในโรงพยาบาล โดยอาจต้อง
- เจาะคอใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจในระยะยาว
- ดูแลในเรื่องอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วนในช่วงที่ปัญหาในการเคี้ยว กลืน และย่อย
- ดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อของปอด
- รักษาภาวะผิดปกติของการเต้นของหัวใจ
- ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ป้องกันภาวะเกิดลิ่มเลือดจากการต้องนอนนานๆ
- ดูแลการขับถ่าย
- ดูแลด้านกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟู ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อต่างๆลีบจากไม่ได้เคลื่อนไหว
- ต้องดูแลด้านสภาพจิตใจ เพราะสมองของผู้ป่วยยังปกติ จึงรับรู้ได้ทุกเรื่อง และมักจะมีความเครียด ความกลัว และการซึมเศร้าสูงจากอาการต่างๆที่เกิดขึ้น
ข. การรักษาตัวกลุ่มอาการจีบีเอสเอง: เช่น
- การให้ยาสารภูมิต้านทาน (Immunoglobulin)
- การเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลืองของเลือดซึ่งอาจช่วยกำจัดสารภูมิต้านทานตัวก่อโรคนี้ได้ (Plasma exchange หรือ Plasmapheresis)
*อนึ่ง การรักษาทั้ง 2 วิธีการยังให้ผลการรักษาไม่ดีนัก
กลุ่มอาการจีบีเอสรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มอาการจีบีเอส มีความรุนแรงสูง และมีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย ได้แก่
- อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
- ธรรมชาติของโรคตั้งแต่เริ่มมีอาการ รุนแรงอย่างรวดเร็ว เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งตัวภายใน 1-2 วัน เป็นต้น
- ผลการตรวจการสื่อนำของเส้นประสาทผิดปกติมาก
- ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่นานตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป
- มีโรคปอดเดิมอยู่แล้วก่อนเกิดกลุ่มอาการจีบีเอส
- ได้รับการรักษาล่าช้า
ทั้งนี้ โดยทั่วไป:
- ผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้สูงสุดกลับมาเป็นปกติภายในระยะเวลาประมาณ 18 เดือนหลังจากมีอาการ (ประมาณ 80-85% ของผู้ป่วย)
- บางรายอาจฟื้นตัวได้ภายใน 6 เดือน โดยบางรายอาจยังมีกล้ามเนื้อบางมัดอ่อนแรง, หรือมีอาการชาอยู่บ้างเล็กน้อย
- ประมาณ 10-20% มีความพิการที่รุนแรง เช่น เท้าไม่มีแรง เดินเซ พูดไม่ชัด
- ประมาณ 10-15% จะตายจาก ภาวะหายใจล้มเหลว และ/หรือ จากภาวะหัวใจล้มเหลว
ทั้งนี้ โรคจีบีเอสนี้ พบการย้อนกลับเป็นซ้ำได้ประมาณ 3-5% โดยไม่สามารถคาดการระยะเวลาในการกลับเป็นซ้ำ หรือปัจจัยเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำได้
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
*การดูแลตนเองที่สำคัญ คือ เมื่อมีอาการ ‘กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างเฉียบพลัน’ โดยเฉพาะเมื่อเกิดตามหลังปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงฯ’ ซึ่งที่สำคัญ คือ เกิดหลังการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หรือ การติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร, หรือการได้รับวัคซีน, ควรรีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือไปโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ โดยหลังจากพบแพทย์แล้ว ให้ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ
อนึ่ง ในโรคนี้ ผู้ป่วยมักมีปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจ ดังนั้น การดูแลตนเองที่สำคัญ อีกประการ คือ การดูแลด้านอารมณ์/จิตใจ เข้าใจทั้งตัวเราและทั้งครอบครัว ยอมรับธรรมชาติของโรค ธรรมชาติของชีวิต ปรับตัว และคิดบวกเสมอ เมื่อมีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพกายจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ทั้งตัวเราและครอบครัวก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี รับกับปัญหาสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
ผลข้างเคียงจากโรค/กลุ่มอาการจีบีเอส:
ก. ผลข้างเคียงของโรคนี้ในระยะเฉียบพลันที่สำคัญ คือ
- ภาวะหายใจล้มเหลวจากการหายใจเองไม่ได้, ปอดติดเชื้อ/ปอดบวม, และมีลิ่มเลือดในหลอดเลือดเลือดของปอด
- ภาวะหัวใจล้มเหลวจากการเต้นผิดปกติของหัวใจ (หัวใจเต้นผิดจังหวะ)
- และปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจของผู้ป่วย
ส่วนผลข้างเคียงในระยะยาว คือ
- ความพิการจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปัญหาในการขับถ่ายจากล้ามเนื้อการขับถ่ายอ่อนแรงเช่นกัน
- ที่สำคัญ คือ ปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจของผู้ป่วยจากคุณภาพชีวิตที่ลดลงจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ป้องกันกลุ่มอาการจีบีเอสอย่างไร?
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค การป้องกันเต็ม100% จึงเป็นไปไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือ การลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ซึ่งคือ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ(โรคระบบทางเดินหายใจ) และในโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- กินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ไม่ค้าง ดื่มแต่น้ำที่สะอาด โดยเฉพาะน้ำแข็ง และรู้จักป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทาง หรือท่องเที่ยว
- รู้จักการใช้หน้ากากอนามัยเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีโรคระบาดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หรือต้องสัมผัสผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
- กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ และรู้จักรักษาระยห่างทางสังคม
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill
- Newswanger, D., and Warren, C. (2004). Guillain-Barre syndrome. 69, 2405-2410.
- Van Doorn, P. et al. (2008). Clinical features, pathogenesis, and treatment of Guillain-Barre syndrome. Lancet neurol. 7, 939-950.
- Yuki, N., and Hartung, H. (2012). Guillain-Barre syndrome. N Engl J Med. 366, 22942304.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Guillain%E2%80%93Barr%C3%A9_syndrome [2021,July3]
- https://emedicine.medscape.com/article/315632-overview#showall [2021,July3]