คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน ผลของอาหารเสริมระหว่างเคมีบำบัดในมะเร็งเต้านม

  • โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
  • 2 พฤศจิกายน 2563
  • Tweet
คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง-381

ปัจจุบัน มีรายงานจำนวนมากเรื่องการใช้อาหารเสริมขณะแพทย์ให้การรักษามะเร็ง แต่ก็มีน้อยการศึกษา/รายงานที่ศึกษาถึงประสิทธิผลรวมถึงผลข้างเคียง/อันตรายที่ผู้ป่วยได้รับจากการใช้อาหารเสริมเหล่านี้ ทั้งนี้อาหารที่มีรายงานใช้บ่อยคือ กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสสระ, กลุ่มไม่ใช่สารต้านอนุมูลอิสสระ, และธาตุเหล็ก, ซึ่งเป็นสารเคมี ดังนั้นโอกาสที่อาหารเสริมเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อยาเคมีบำบัดจึงมีความเป็นไปได้สูง และการศึกษาเหล่านี้ก็มักศึกษา/รายงานจากประสบการณ์และ/หรือการสังเกตไม่ใช่ศึกษาด้วยวิธีทางการแพทย์ จึงเป็นที่มาของการศึกษานี้ของคณะนักวิทยาศาสตร์จาก ศูนย์รักษามะเร็งในนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา Roswell Park Comprehensive Cancer Center, Buffalo, NY นำโดย ดร.Christine B. Ambrosone และได้รายงานการศึกษาในวารสารโรคมะเร็ง Journal of Clinical Oncology เมื่อ 10 มีนาคม 2020

การศึกษานี้ เป็นการศึกษาล่วงหน้า(Prospective trial)ในมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาเคมีบำบัดและอาหารเสริมระหว่างการรักษา ซึ่งอาหารเสริมในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสสาระคือ vitamins A, C, and E; carotenoids; coenzyme Q10, และกลุ่มไม่ใช่สารต้านอนุมูล อิสสระ คือ วิตามินบี 12, วิตามินรวม, และธาตุเหล็ก, โดยศึกษาในมะเร็งเต้านม 1,134 ราย ที่ติดตามผลการรักษานานอย่างน้อย 6 เดือนนับจากเริ่มศึกษา

ผลการศึกษา:

  • การได้รับสารต้านอนุมูลอิสสระ: มีผลเพิ่มโอกาสย้อนกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมสูงขึ้นแต่ยังไม่ชัดเจนทางสถิติ, p = .06 , แต่ไม่กระทบต่ออัตราเสียชีวิต p=0.14
  • การได้รับวิตามินที่ไม่ใช่สารต้านอนุมูลอิสสระ ในที่นี้คือ วิตามินบี12 :มีผลอย่างมีความสำคัญทางสถิติในการลดระยะเวลาปลอดโรคมะเร็ง(disease free survival) p<0.01, และลดอัตรารอดชีวิต (Survival rate) p< 0.01
  • การได้รับธาตุเหล็ก:เพิ่มอัตราโรคย้อนกลับเป็นซ้ำอย่างสำคัญทางสถิติ p<0.01
  • การได้รับวิตามินรวม: ไม่พบมีผลต่ออัตรารอดชีวิตและ/หรือการย้อนกลับเป็นซ้ำ

คณะผู้ศึกษา สรุปว่า ในมะเร็งเต้านม การใช้อาหารเสริมต่างๆในระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ควรต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวังด้วยจะมีผลทางลบต่อผลการรักษามะเร็งในทุกด้าน ยกเว้นการใช้วิตามินรวม

แหล่งข้อมูล:

  1. JCO 2020;38 (8):804-814 (abstract)