คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็ง4ชนิดสูงกว่าการสูบบุหรี่

คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง-329

      

      เรื่องคุยกันวันนี้ ได้มาจากเว็บของบีบีซี ประเทศอังกฤษ เป็นข่าวเมื่อ 3 กค 2019 โดยเป็นข่าวจากองค์กรด้านโรคมะเร็งของประเทศอังกฤษที่ชื่อ Cancer Research UK ได้ให้ข่าวเพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งกับคนทั่วไป เพื่อจะได้รู้วิธีลดปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งลง เพราะปัจจุบัน ประเทศต่างๆทางตะวันตกที่เป็นประเทศเจริญแล้วได้จัดให้มะเร็งเป็นโรคที่ป้องกัน/ลดปัจจัยเสี่ยงเกิดได้อย่างชัดเจน(ลดลงได้ถึงประมาณ 40%) ด้วยวิธีการที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ เพียงแต่ต้องเป็นการปฏิบัติจริงจังและต่อเนื่องตลอดชีวิต นั่นคือ “การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งที่สำคัญ คือ การบริโภคอาหารที่ต้องร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการเลิกสูบบุหรี่”

      ความรู้ที่องค์กรนี้ได้เผยแพร่ในครั้งนี้คือ:

      การศึกษาทั่วโลกด้านโรคมะเร็งให้ผลตรงกันว่า ปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งที่ป้องกันได้ ที่สำคัญที่สุด คือ การสูบบุหรี่ที่รวมถึงบุหรี่มือสอง และโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงฯสูงสุดในการเกิดมะเร็ง สูงกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน

      การศึกษาต่างๆที่ยืนยันว่า โรคอ้วนฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งพบบ่อยอย่างน้อยที่มีการศึกษาให้ผลชัดเจนตรงกันมีทั้งหมด 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งหลอดอาหาร, มะเร็งตับ, มะเร็งไต, มะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งถุงน้ำดี, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งรังไข่, มะเร็งต่อมไทรอยด์, มะเร็งมัลติเพิลมัยอีโลมา, และเนื้องอกสมองชนิดเนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง(Meningioma)

      แต่ปัจจุบัน การศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า มีมะเร็งพบบ่อยอยู่ 4 ชนิด ที่โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงมากกว่าการสูบบุหรี่ ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งไต, มะเร็งตับ, และมะเร็งรังไข่

      ซึ่งองค์กรนี้ ได้สรุปว่า ทุกคน คนอ้วน ครอบครัวคนอ้วน รวมถึง รัฐบาล และเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ควรต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อลดโอกาสเกิดโรคอ้วนที่อัตราเกิดค่อยๆสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เช่นเดียวกับตัวอย่างจากการสูบบุหรี่ ที่การร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องจนส่งผลให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกได้ลดลงเป็นอย่างมาก

แหล่งข้อมูล:

  1. https://www.bbc.com/news/health-48826850[2019,Sept25]