การนับคาร์บ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตอน 1 ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต

การนับคาร์บสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน-1

      

เมนูอร่อย สไตล์สุขภาพ

      

การนับคาร์บ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

      

ตอน 1 ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต

            

      หัวใจหลักในการควบคุมโรคเบาหวาน คือการควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงให้มากที่สุดร่วมกับการดูแลน้ำหนักตัว เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันในระยะยาว เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเร็วที่สุดและมากที่สุด การนับคาร์โบไฮเดรตจึงเป็นวิธีที่ควบคุมเบาหวานได้ดี

      คาร์โบไฮเดรต เป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบเมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ขณะเดียวกันตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาในเลือดเพื่อนำน้ำตาลเข้าไปให้เซลล์และอวัยวะต่าง ๆทั่วร่างกายใช้เป็นพลังงาน สำหรับผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานนั้น เมื่อรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันตับอ่อนก็จะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหลังมื้ออาหารช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ

      สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะเดื้ออินซูลิน ตับอ่อนสามารถหลั่งอินซูลินออกมาทำงานได้ แต่ประสิทธิภาพในการทำงานหรือการออกฤทธิ์ที่เซลล์ในการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เสื่อมไป หรือผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มีสาเหตุเกิดจากกลุ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อนเสื่อมสลายไปไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน เซลล์ต่าง ๆ จึงไม่สามารถรับน้ำตาลเข้าไปใช้เป็นพลังงานได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานทั้งสองกลุ่มนี้ หลังรับประทานอาหารเข้าไปแล้วจะทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าคนปกติ การทำให้ระดับน้ำตาลลดลงมาให้ใกล้เคียงกับคนปกติที่สุดจึงขึ้นอยู่กับความสมดุลของปริมาณอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ยาที่ใช้ และกิจวัตรประจำวัน

      ดังนั้นการนับคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate counting) เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกกำหนดไว้สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องเข้าใจและประยุกติ์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน บุคคลที่อยู่ในภาวะความเสี่ยง ผู้รักสุขภาพทุกท่านสามารถใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้เรื่องการรับประทานอาหารกลุ่มข้าวแป้ง สามารถคำนวณหรือนับอาหารกลุ่มข้าวแป้ง ได้แม่นยำขึ้น ควบคู่กับการรักษาด้วยยาลดน้ำตาล

      คาร์โบไฮเดรตแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

      1.คาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเชิงเดี่ยว (monosaccharide or simple carbohydrate) เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมและแตกตัวเป็นน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ กลูโคส (Glucose) ฟรุกโตส (Fructose) ซูโครส (Sucrose) และมอลโตส (Maltose) อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในกลุ่มนี้มีผลทำให้ผู้เป็นเบาหวาน ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน และคนอ้วน มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้รวดเร็วหลังดื่มหรือรับประทานอาหารและเป็นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดยาก ส่วนใหญ่เป็นสารอาหารที่ใช้แต่พลังงานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการชนิดอื่น ดังนั้นจึงแนะนำให้เลี่ยงหรือลดการรับประทานอาหารกลุ่มนี้ให้น้อยลง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มรสหวานต่าง ๆ คาร์โบไฮเดรตกลุ่มนี้จะใช้ในกรณีการแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลซูโครส ในเครื่องดื่มต่าง แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมคือ ใช้คาร์โบไฮเดรต 15-30 กรัม เช่น น้ำหวานเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผลไม้ 120 ซีซี หรือเม็ดกลูโคส (glucose tablet) 4 เม็ด สำหรับการแก้ไขในแต่ละครั้งหรือตามคำแนะนำของแพทย์

      2. คาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเชิงซ้อน (polysaccharide or complex carbohydrate) เป็นอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเชิงซ้อนและบางตัวอาจมีใยอาหารมาก จึงดูดซึมและแตกตัวเป็นน้ำตาลในเลือดได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวแป้งชนิดต่าง ๆ นมรสจืด (รสธรรมชาติ) ธัญพืชต่าง ๆ และผักที่มีแป้ง อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตกลุ่มนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว จึงแนะนำให้รับประทานอาหารในกลุ่มนี้เป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสม

      

อ้างอิง:

  1. ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. การนับคาร์โบไฮเดรตเพื่อควบคุมเบาหวาน. กรุงเทพฯ:โนโว นอร์ดิสค์ ฟามา; 2559.
  2. ศัลยา คงสมบูรณ์เวช, สิริมนต์ ริ้วตระกูล. การนับคาร์โบไฮเดรตเพื่อควบคุมเบาหวาน. (เอกสารสำหรับแจกผู้เป็นเบาหวาน ปี 2558)
  3. สำนักโภชนาการ. อาหารบำบัดเบาหวานกับจานสุขภาพ. [แผ่นพับ]. กรุงเทพฯ: กลุ่มงานโภชนาการประยุกติ์ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย; 2558.
  4. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. รู้จักคาร์บ รู้จักนับ ปรับสมดุล ควบคุมเบาหวาน. กรุงเทพฯ: สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย; 2560.