การตรวจอุจจาระ (Stool examination)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

บทนำ: คืออะไร?

การตรวจอุจจาระ (Stool examination หรือ Stool test หรือ Stool analysis) คือ การตรวจสุขภาพพื้นฐานการตรวจหนึ่ง เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยความผิดปกติ หรือโรคในระบบทางเดินอาหาร, หรือหาสาเหตุภาวะ/โรคซีด  โดยเป็นการตรวจลักษณะอุจจาระด้วยตาเปล่า ร่วมกับการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจที่ง่าย ขั้นตอนการตรวจไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง จึงสามารถให้บริการได้ตั้งแต่ในคลินิก, ในสถานพยาบาลขนาดเล็ก, ไปจนถึงในโรงพยาบาลทุกระดับ, นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการตรวจยังไม่แพง และสามารถช่วยวินิจฉัยโรคพื้นฐานในระบบทางเดินอาหารได้หลายโรค เช่น ภาวะ/อาการอาหารไม่ย่อย, โรคพยาธิต่างๆของระบบทางเดินอาหาร, และสามารถตรวจได้ในคนทุกเพศและทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิด(นิยามคำว่าเด็ก)ไปจนถึงผู้สูงอายุ, ดังนั้นจึงเหมาะที่จะเป็นการตรวจสุขภาพพื้นฐานประจำปีของทุกๆคน

การตรวจอุจจาระมีประโยชน์อย่างไร?

 

ประโยชน์ของการตรวจอุจจาระ: เช่น  

  • ตรวจสุขภาพระบบทางเดินอาหาร เช่น ของกระเพาะอาหาร และ/หรือลำไส้
  • ตรวจหาตัวพยาธิและไข่พยาธิในระบบทางเดินอาหาร เช่น พยาธิเส้นด้าย, ฯลฯ
  • ตรวจเพาะเชื้อว่า โรคทางเดินอาหารนั้นๆเกิดจากติดเชื้อหรือไม่ฯ และเชื้ออะไรฯ (แบคทีเรีย  โรคติดเชื้อไวรัส   โรคเชื้อรา หรือ โรคติดเชื้อปรสิต) เช่น กรณีท้องเสียโดยเฉพาะท้องเสียเป็นๆหายๆ/เรื้อรัง หรือ อาหารเป็นพิษ
  • ตรวจระบบการย่อย, การดูดซึมอาหาร, ของกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ตรวจการมีแผลเรื้อรังในทางเดินอาหารที่ก่ออาการเลือดออกเรื้อรัง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร/แผลเปบติค หรือแผลโรคมะเร็งในทางเดินอาหาร เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ข้อบ่งชี้การตรวจอุจจาระมีอะไรบ้าง?

ข้อบ่งชี้ในการตรวจอุจจาระ: เช่น

  • เป็นการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อดูสุขภาพทั่วไปของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาจ มีไข่พยาธิเพราะหลายคนมีพยาธิโดยไม่รู้ตัว คือไม่มีอาการ, ตรวจความผิดปกติ อื่นๆ เช่น อุจจาระมีไขมันปนมากที่เป็นตัวช่วยบอกถึงภาวะของการย่อยและการดูดซึมอาหารซึ่งเป็นต้นเหตุของหลายอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด  ท้องเฟ้อ เรอ  
  • เมื่อมีอาการผิดปกติในเนื้ออุจจาระ เช่น อุจจาระเป็นน้ำ เป็นก้อน หรืออุจจาระเป็นเลือด/มีมูกเลือด ทั้งนี้เพราะสามารถช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยแยกโรคได้ เช่น โรคบิด โรคอาหารเป็นพิษ  อหิวาตกโรค หรือโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร  
  • ตรวจหาตัวพยาธิหรือไข่พยาธิ เช่น พยาธิปากขอ  พยาธิเส้นด้าย  พยาธิใบไม้ตับ,  กรณีแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีพยาธิในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในเด็ก, ผู้มีอาชีพกสิกรรม
  • ต้องการหาชนิดของเชื้อโรคและ/หรือต้องการทราบถึงประสิทธิผลของยาต่างๆโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ, เมื่อผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น แบคทีเรีย โรคติดเชื้อไวรัส  โรคเชื้อรา  หรือโรคติดเชื้อปรสิต
  • ตรวจหาภาวะมีเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น เมื่อผู้ป่วยมีโรคซีดโดยหาสาเหตุไม่ได้, หรือเป็นการคัดกรองหาแผลหรือโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร เช่น  มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ตรวจหาความผิดปกติของการย่อยอาหาร เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับการย่อยและการดูดซึมอาหาร เช่น ภาวะขาดเอนไซม์แลคเตส   ภาวะแพ้นมวัว   อาการท้องเสียเรื้อรัง

ข้อห้ามการตรวจอุจจาระมีอะไรบ้าง?

ไม่มีข้อห้ามในการตรวจอุจจาระเพราะเป็นการตรวจที่ง่าย, ไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า, ไม่เจ็บตัว,  ค่าใช้จ่ายไม่แพง, ในประเทศเรา การตรวจ/ค่าตรวจจะอยู่ในทุกระบบประกันสุขภาพ

การตรวจอุจจาระตรวจอะไรบ้าง?

ทั่วไป การตรวจอุจจาระแบ่งเป็น 2 การตรวจ คือ การตรวจพื้นฐาน, และการตรวจเฉพาะเจาะจง

ก. การตรวจพื้นฐาน: เป็นการตรวจในเบื้องต้น เป็นการตรวจที่ไม่ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า เป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปเพื่อคัดกรองโรคในระบบทางเดินอาหาร, การตรวจจะโดยการสังเกตด้วยตาเปล่า, ขยายดูด้วยกล้องจุลทรรศน์, และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆเพิ่มเติมบ้างด้วยเทคนิคง่าย ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ที่สามารถให้การตรวจได้ในทุกสถานพยาบาล

การตรวจอุจจาระพื้นฐาน: เช่น

  • การดูลักษณะภายนอกของอุจจาระ เช่น แข็ง นุ่ม เป็นน้ำ มีมูก มีเลือดปน เป็นเม็ดกระสุน แบนเล็กเหมือนริบบิน หรือเป็นฟองไขมัน ดูสีของอุจจาระ เช่น สีน้ำตาลปกติ, ดำเหมือนยางมะตอย, หรือซีดออกขาว
  • การส่องกล้องตรวจ: เช่น ดูเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง ตัวพยาธิ และไข่พยาธิ
  • บางโรงพยาบาล อาจให้บริการพิเศษโดยตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจค่าความเป็นกรดหรือด่างของอุจจาระ (ค่า pH, Potential of hydrogen), และตรวจพื้นฐานดูภาวะมีเลือดปนในอุจจาระ (Stool for blood)

ข. การตรวจเฉพาะเจาะจง (Comprehensive digestive stool analysis เรียกย่อว่า CDSA): เช่น

  • ตรวจเลือดในอุจจาระขั้นละเอียด (Stool guaiac test) เพื่อช่วยคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • การตรวจหาเชื้อ และ/หรือร่วมกับ การตรวจเพาะเชื้อต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารเกิดจากการติดเชื้อชนิดใด เช่น เชื้อโรคไทฟอยด์ หรือ เชื้อโรคบิด
  • ตรวจหาน้ำย่อย หรือเอนไซม์ในการย่อยอาหารชนิดต่างๆ เพื่อดูว่าการย่อยอาหารผิดปกติจากเอนไซม์ตัวใด เช่น เอนไซม์ Chymotrypsin ของตับอ่อนที่จะช่วยวินิจฉัยโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรังได้
  • ตรวจหาปริมาณไขมันทั้งหมดในอุจจาระ: เช่น เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะความผิดปกติในการดูดซึมอาหาร (Malabsorption syndrome) เป็นต้น

ทั้งนี้ การตรวจเฉพาะเจาะจงเหล่านี้ บางการตรวจต้องมีการเตรียมตัว  จึงแตกต่างกันในแต่ละการตรวจ, ดังนั้น แพทย์ พยาบาลที่ดูแลรักษาผู้ป่วยจะเป็นผู้อธิบายการเตรียมตัวนั้นๆให้ผู้ป่วยทราบ,  ทั่วไป การเตรียมตัวจะสัมพันธ์กับ อาหารและยา เช่น การหยุดกินยาบางชนิด หรือการหยุดกินเนื้อสัตว์ หรือพืชที่มีธาตุเหล็กสูง (มีสีเขียวเข็ม หรือสีออกแดง แสด หรือเหลือง) ประมาณ 3 วันก่อนการตรวจในการตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธี Stool guaiac test เป็นต้น

เตรียมตัวอย่างไรในการตรวจอุจจาระ?

การตรวจอุจจาระโดยทั่วไปเป็นการตรวจพื้นฐาน: คือ ตรวจดูลักษณะภายนอกของอุจจาระ,  ตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์, และ/หรือมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการชนิดไม่ยุ่งยาก ดังได้กล่าว แล้วใน’หัวข้อ การตรวจอุจจาระตรวจอะไรบ้าง’ ดังนั้นจึงไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า เพียงเก็บอุจจาระที่ถ่ายตามปกติใส่ภาชนะที่ห้องปฏิบัติการมอบให้, และนำส่งฯห้องตรวจ/ห้องปฏิบัติการ

ส่วนการตรวจเฉพาะเจาะจง: อาจมีการเตรียมตัวบ้างในเรื่องที่เกี่ยวกับการกินอาหาร หรือ การกินยาต่างๆ ที่อาจรบกวนส่งผลให้ผลตรวจผิดพลาดได้ ดังนั้น เพียงหยุดยา หรืองดอาหารตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ, ส่วนขั้นตอนอื่นๆเช่นเดียวกับการตรวจอุจจาระพื้นฐาน

มีขั้นตอนการตรวจอุจจาระอย่างไร?

ขั้นตอนการตรวจอุจจาระเป็นขั้นตอนง่ายๆ ถ้าต้องมีการงดอาหารและ/หรือยาบางประเภทก็ให้ปฏิบัติตามที่แพทย์พยาบาลแนะนำเท่านั้น, นอกจากนั้นคือการเก็บอุจจาระที่ถ่ายตามปกติของ เราใส่ในภาชนะที่โรงพยาบาลให้ไว้ แล้วนำส่งห้องตรวจ/ห้องปฏิบัติการภายใน 24 ชั่วโมงหลังถ่าย อุจจาระ

การเก็บอุจจาระ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ห้องตรวจ, ซึ่งโดยทั่วไปเทคนิคในการเก็บอุจจาระ: เช่น       

  • เตรียมวัสดุที่จะป้ายเก็บอุจจาระ ซึ่งควรเป็นไม้แผ่นเล็กๆ ลักษณะคล้ายไม้พาย เช่น ไม้ไอศกรีม หรือช้อนพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
  • ปัสสาวะก่อนให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของปัสสาวะซึ่งจะส่งผลให้การตรวจ อุจจาระผิดพลาดได้
  • ไม่เก็บอุจจาระจากโถส้วม เพราะอุจจาระอาจปนน้ำในโถส้วม ที่อาจส่งผลให้ ผลการตรวจผิดพลาดได้
  • ใส่ถุงมือยาง ไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันอุจจาระเปื้อนมือ
  • ถ่ายอุจจาระลงในแผ่น/ถาดพลาสติก หรือถุงพลาสติกที่ปากถุงกว้าง แห้งสะอาด
  • ใช้ไม้ป้ายอุจจาระ แล้วเก็บอุจจาระใส่ภาชนะที่ห้องปฏิบัติการหรือเจ้าหน้าที่ให้มา ซึ่งอาจเป็นกล่องหรือขวดที่มีฝาปิดมิดชิด, กระจายการป้ายเก็บฯให้ทั่วก้อนอุจจาระทุกจุด โดยเฉพาะจุดผิดปกติ แต่ต้องไม่เลือกเฉพาะจุดที่ผิดปกติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจ, รวมกันแล้วให้ได้ปริมาณอุจจาระประมาณ “นิ้วหัวแม่มือ” ถ้าอุจจาระเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือดก็ให้เก็บส่วนที่ผิดปกตินั้นๆมาด้วย

ทั้งนี้ การเก็บปริมาณอุจจาระเมื่อเป็นการตรวจเฉพาะเจาะจง ให้เก็บในปริมาณตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ห้องตรวจ

  • ในขณะป้ายเก็บอุจจาระ ควรระวังไม่ให้มือสัมผัสกับอุจจาระ
  • ปิดฝาที่เก็บอุจจาระให้สนิท, เช็ดภาชนะบรรจุอุจจาระให้สะอาด
  • ถอดถุงมือ ทิ้งถุงมือ, และไม้/ช้อนป้ายอุจจาระในถุงพลาสติก, ปิดปากถุงให้แน่น, นำทิ้งในถังขยะสำหรับขยะติดเชื้อ, หลังจากนั้น ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด
  • ติดชื่อนามสกุล วันที่ และเลขประจำตัวโรงพยาบาลให้ถูกต้องชัดเจนบนภาชนะเก็บ อุจจาระ
  • เก็บภาชนะใส่อุจจาระในถุงพลาสติก 2 ชั้น, ปิดปากถุงทีละชั้นให้แน่นเรียบร้อย
  • นำส่งเจ้าหน้าที่ห้องตรวจ ทั้งนี้อาจเก็บอุจจาระไว้ในตู้เย็นได้นาน 24 ชั่วโมงโดยให้เก็บไว้ในช่องที่ไม่ใช่ช่องเก็บอาหาร น้ำดื่ม และช่องแช่แข็ง

ได้ผลตรวจเมื่อไร?

เนื่องจากเป็นการตรวจที่ไม่ยุ่งยาก ทั่วไป การตรวจอุจจาระพื้นฐานจึงมักทราบผลภายใน 24 ชั่วโมง, แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนผู้ป่วยต่อเจ้าหน้าที่ห้องตรวจที่น้อย อาจทราบผลตรวจได้ภายในระยะเวลา 2 - 3 ชั่วโมง

แปลผลตรวจอุจจาระอย่างไร?

เมื่อห้องปฏิบัติการตรวจอุจจาระแล้ว จะส่งผลตรวจให้แพทย์ และ/หรือให้ผู้ป่วยเพื่อนำไปให้แพทย์/พยาบาล หรือแจ้งผลผ่านระบบคอมพิวเตอร์โรงพยาบาล,  ทั้งนี้ขึ้นกับระบบของแต่ละโรงพยาบาล, ซึ่งแพทย์/พยาบาลที่ดูแลรักษาผู้ป่วยจะเป็นผู้แปลผลให้ผู้ป่วยทราบ

 อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถทราบผลตรวจได้เองว่า การตรวจปกติหรือผิดปกติทั้งนี้เพราะ ทั่วไปในใบรายงานผลตรวจของห้องปฏิบัติการ จะมีค่าตรวจปกติกำกับไว้ให้ด้วยเสมอ

แพทย์จะแปลผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการ: โดย

  • ดูรายงานลักษณะภายนอกของอุจจาระ เช่น
    • เป็นก้อนแข็งปกติ เป็นน้ำ เป็นเส้นบาง
    • มีมูก เลือด ปนหรือไม่
    • มีสีเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาลเข้มปกติ หรือขาวซีด
  • ดูจากผลการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศ์/รายงานผลจากห้องปฏิบัติการ: การมีเม็ดเลือดขาวจะช่วยการวินิจฉัยถึงการติดเชื้อ
  • ดูจากเม็ดเลือดแดงและการตรวจเลือดปนในอุจจาระที่จะช่วยบอกภาวะมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ค่า pH ของอุจจาระปกติจะเป็นด่าง, ถ้าค่าเป็นกรดจะช่วยบอกถึงมีระบบการย่อยอาหาร ที่ผิดปกติ
  • การตรวจพบพยาธิหรือไข่พยาธิจะช่วยบอกถึงการมีโรคติดเชื้อปรสิต

การเพาะเชื้อจะช่วยบอกถึงชนิดของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

การตรวจอุจจาระมีผลข้างเคียงไหม?

ดังกล่าวแล้วว่า การตรวจอุจจาระเป็นการตรวจที่ง่ายไม่เจ็บตัว เพียงเก็บอุจจาระที่ถ่ายออก มาตามธรรมชาติของเรา, ใส่ภาชนะแล้วนำมาส่งยังห้องตรวจหรือห้องปฏิบัติการเท่านั้น, ดังนั้นจึงไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆทั้งสิ้น, ตรวจได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ

หลังตรวจต้องปฏิบัติตนอย่างไร?

ดังกล่าวแล้วว่า การตรวจอุจจาระ คือ การเก็บอุจจาระที่ถ่ายตามปกติ ใส่ภาชนะและนำส่งห้องปฏิบัติการเท่านั้น, ดังนั้นจึงใช้ชีวิตได้ตามปกติทั้งก่อนตรวจนและหลังตรวจฯ, ไม่มีข้อต้องระวังหรือข้อจำกัดใดทั้งสิ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Fecal_pH_test  [2022,Oct29]
  2. https://www.nhs.uk/common-health-questions/infections/how-should-i-collect-and-store-a-stool-faeces-sample/  [2022,Oct29]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Stool_test  [2022,Oct29]