การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Terminal care)
- โดย อรวรรณ รัตนสุวรรณ
- 16 สิงหาคม 2563
- Tweet
- ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร?
- ควรเตรียมผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างไร?
- ควรเริ่มต้นการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เมื่อไร? ควรดูแลอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- มะเร็ง (Cancer)
- รังสีรักษา ฉายรังสี ใส่แร่ (Radiation therapy)
- ยาเคมีบำบัด (Cancer chemotherapy)
- การดูแลตนเอง การดูแลผู้ป่วยเคมีบำบัด (Coping with chemotherapy)
- การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง และการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง (Cancer patient self-care and Cancer care)
- คลื่นไส้ อาเจียน (Nausea and Vomiting)
- ท้องผูก (Constipation)
- ปากคอแห้ง (Dry mouth and Dry throat)
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร?
ผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Terminal stage) หมายถึง ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคต่างๆลุกลามจนรักษาไม่หาย และแพทย์ไม่มีแผนการรักษาเฉพาะโรคนั้นๆอีกต่อไป นอกจากรักษาดูแลแบบประคับประคองตามอาการจวบจนเสียชีวิต
ควรเตรียมผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างไร?
การเตรียมผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะต้องเป็นผู้มีเวลาให้กับผู้ ป่วย มีความเมตตาต่อผู้ป่วย และเป็นผู้ที่ทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์/พยาบาลไว้ใจได้
ผู้ดูแลที่ดีที่สุด ควรเป็นญาติผู้ใกล้ชิดซึ่งจะมีความสำคัญต่อผู้ป่วย เนื่องจากรับรู้ข้อมูลในการรักษาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้ที่ผู้ป่วยให้ความไว้ใจได้ ในส่วนผู้ดูแลเอง ก็จะมีปัญหาจากการเหนื่อยล้าในการดูแลผู้ป่วย ดังนั้น การเป็นญาติจึงช่วยผ่อนคลายปัญหาทั้งกับผู้ป่วยและผู้ดูแลลงได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีญาติ คงต้องหาจากสถานฝึกอบรมการพยาบาลต่างๆ และค่อยๆเลือกดูคุณสมบัติของผู้ดูแล ซึ่งควรต้องเริ่มหาผู้ดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เมื่อผู้ ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ควรต้องดูแลทั้งผู้ป่วยและผู้จะมาดูแลผู้ป่วย ซึ่งการดูแล หรือการเตรียมผู้จะมาดูแลผู้ป่วยที่สำคัญ คือ ให้ความรู้ในเบื้องต้นเรื่องโรคและอาการของผู้ ป่วย ระบุหน้าที่ของผู้ดูแลต่อผู้ป่วยอย่างชัดเจน ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับภาระงาน รวมทั้งมีเวลาให้ผู้ดูแลได้พักผ่อนตามควร อาจต้องช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวของผู้ดูแล เพื่อช่วยให้มีเวลาในการดูแลผู้ป่วย และควรให้ผู้ดูแลมีความเข้าใจว่า เป็นการดูแลเพื่อคงคุณภาพชีวิตของผู้ ป่วยจากโรคที่คุกคามต่อชีวิต โดยให้การป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและครอบครัว โดยใช้การดูแลปัญหาสุขภาพทุกด้านไปพร้อมกัน ได้แก่ กาย ใจ จิตวิญญาณ และครอบครัวผู้ป่วย
ควรเริ่มต้นดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เมื่อไร? และควรดูแลอย่างไร?
ควรเริ่มต้นการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่แรกที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคที่รุน แรง เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคในขั้นที่รักษาไม่หาย เช่น โรคมะเร็ง โรคไตวายเรื้อรัง หรือโรคปอดเรื้อรัง และให้การดูแลต่อเนื่องจนกระทั่งผู้ป่วยตาย ซึ่งการดูแลที่สำคัญ ได้แก่
ก. การดูแลด้านร่างกาย: ที่สำคัญ คือ
1. อาการปวด:
- เป็นอาการที่พบบ่อยเมื่อโรครุนแรงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในโรคมะเร็ง อาจเกิดจากหลายสาเหตุและอาจปวดมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง อาการทางร่างกายและทางอารมณ์ที่เปลี่ยน แปลงมักส่งผลให้ความอดทนต่อความปวดลดลง เช่น อา การอ่อนเพลีย คลื่นไส้- อาเจียน กลัว ซึมเศร้า วิตกกังวล
- ยาที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวด/ยาแก้ปวดมีหลายชนิด แพทย์จะพิจารณาให้ยาตามสาเหตุและความรุนแรงของอาการ กรณีมีอาการปวดรุนแรงมากจะให้ยามอร์ฟีน ซึ่งมีทั้งรูปแบบยาฉีด ยาเม็ด ยาน้ำและแผ่นแปะผิวหนัง สำหรับมอร์ฟีนชนิดเม็ดต้องกลืนทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยวหรือบดเด็ดขาด และเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้นาน ควรให้ยามอร์ฟีนตามเวลาแพทย์สั่ง เช่น ทุก 8 ชั่วโมง แต่ละมื้อต้องห่างกัน 8 ชั่วโมง ไม่จำเป็นว่าต้องให้ก่อนหรือหลังให้อาหาร เพื่อให้สามารถควบคุมอา การปวดได้สม่ำเสมอตลอดทั้งวัน
- ปัจจุบันนอกจากยาบรรเทาปวดแล้ว อาจใช้เทคนิคการผ่อนคลายต่างๆร่วมด้วย เช่น การทำสมาธิ ฟังบทสวด การนวด ฟังเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นต้น
- ผู้ดูแล: ควรดูแลให้ผู้ป่วยกินยาต่างๆได้ครบถ้วน ตรงตามเวลาที่แพทย์แนะนำ และคอยสังเกตว่า ยาได้ผลหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีอาการอย่างไรภายหลังการกินยา และคอยพูด คุยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายทางอารมณ์ เพราะอารมณ์ต่างๆดัง กล่าว จะส่งเสริมให้อาการปวดเพิ่มขึ้น และการใช้ยาได้ผลลดลง
2. อาการท้องผูก:
- เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เคลื่อนไหวร่างกายน้อย กินน้อย อาหารที่กินมีใยอาหารน้อย ดื่มน้ำน้อย และจากผล ข้างเคียงของยาบรรเทาปวด โดยเฉพาะยาในกลุ่มมอร์ฟีน
- การดูแลที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน ผู้ดูแลควรจัดอาหารให้มี ใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอที่ไม่ขัดกับโรค กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้ยามอร์ฟีน ควรได้ยาระบายจากแพทย์ด้วย หากไม่ได้รับยาระบาย ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
3. เบื่ออาหาร คลื่นไส้-อาเจียน:
- เป็นอาการที่พบได้บ่อย ผู้ดูแลควรจัดอาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง งดอาหารกลิ่นฉุน ของมัน ของทอด จัดสิ่งแวดล้อม ในห้อง ในบ้าน และรอบบ้านให้ผ่อนคลาย รู้สึกสุขสบาย หากผู้ป่วยคลื่นไส้อาเจียนมาก ควรเลื่อนมื้ออาหารจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือถ้าไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์/พยาบาล
4. อาการปากคอแห้ง เจ็บในปาก กลืนลำบาก:
- ควรดูแลทำความสะอาดในช่องปากทุกวันอย่างน้อยวันละสองครั้ง คือ เมื่อตื่นนอนเช้า และก่อนเข้านอน
- ถ้าแปรงฟันไม่ได้ ให้ใช้น้ำเกลือบ้วนปากบ่อย ๆ หรือ
- ใช้กระบอกฉีดยา ฉีดน้ำเกลือทำความสะอาดในปากในรายที่หมดสติ
- ควรให้ผู้ป่วยจิบน้ำบ่อยๆ หรืออมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื้น
- ควรให้อาหารอ่อน หรืออาหารเหลว/อาหารน้ำ ขึ้นกับภาวะกลืนอาหารของผู้ป่วย
- รสอาหารควรมีรสไม่จัด เพื่อให้กลืนได้ง่าย
5. อาการท้องมานหรือบวมในท้อง:
- เกิดจากภาวะหรือโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ มีการลุกลามมากขึ้น โรคที่พบบ่อยที่ทำให้เกิดท้องมาน คือ โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง หรือภาวะหัวใจล้มเหลว
- ควรดูแล โดยให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง หรือนั่งพิง เพื่อบรรเทาอาการ หากอาการแน่น อึดอัดมากจนทนไม่ไหว ให้พาผู้ป่วยพบแพทย์/มาโรงพยาบาล
6. อาการไอ:
- ควรป้องกันสาเหตุที่ทำให้ไอ เช่น หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน ระวังการสำลักขณะรับประทานอาหาร ดื่มน้ำให้ได้มากๆเมื่อแพทย์ไม่ห้ามการดื่มน้ำ เพื่อช่วยละลายเสมหะ และดูแลให้กินยาบรรเทาอาการไอตามแพทย์แนะนำ
7. อาการ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก:
- เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในผู้ป่วย
- ผู้ดูแล:
- ควรจัดสถานที่ เพื่อผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงมาก เช่น ห้องนอน ควรให้ผู้ป่วยพักชั้นล่าง อากาศถ่ายเทดี อยู่ใกล้ห้องน้ำ หรือให้ขับถ่ายด้วยหม้อนอน
- ควรจัดให้ผู้ป่วยพักให้ท่าศีรษะสูงเล็กน้อย เพื่อให้หน้าอกขยายได้ง่ายและคอยอยู่ดูแลใกล้ชิด
- เมื่อมีอาการมาก ควรพาผู้ป่วยพบแพทย์/มาโรงพยาบาล
8. อาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้:
- ผู้ดูแลควรจัดหาอุปกรณ์ให้ผู้ป่วยปัสสาวะได้สะดวกและรวดเร็ว
- งดเครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟ หลัง 18.00 น.
- ให้จิบน้ำน้อยลง
- ถ้าผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะไม่ได้เลย ควรใส่ผ้ารองซับและหมั่นเปลี่ยนผ้ารอง (ผ้าอ้อม)
- ระวัง ขาหนีบและทวารหนัก ระคายเคืองเป็นแผล โดยดูแลความสะอาดสม่ำเสมอ
- ปรึกษาพยาบาลถึงวิธีดูแล และทำความสะอาด และ
- เมื่อผิวหนังเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่น มีสีคล้ำลง ควรต้องรีบปรึกษาแพทย์ และ/หรือ พยาบาล
9. อาการบวม:
- อาจเกิดจาก
- การอุดตันของระบบน้ำเหลืองและหลอดเลือด
- มีโปรตีนในเลือดต่ำจากการขาดอาหาร หรือ
- ตับวาย เป็นต้น
- ซึ่งการบวมจะทำให้เกิดแผลในบริเวณต่างๆที่บวมได้ง่าย
- ควรดูแล อย่าให้เกิดแผลต่างๆเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- เมื่อมีแผล
- ต้องรีบใส่ยาแอลกอฮอล์ หรือ เบตาดีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ยกแขนหรือขาที่บวมให้สูงขึ้นเพื่อให้ยุบ
- หลีกเลี่ยงการนั่งห้อยเท้า และ
- งดอาหารเค็ม เพราะอาหารเค็มซึ่งมีเกลือ จะช่วยให้ร่างกายอุ้มน้ำมากขึ้น อาการบวมจึงมากขึ้นตามไปด้วย
10. อาการคัน:
- เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผิวแห้ง อับชื้น ระคายเคืองจากปัสสาวะ หรืออุจจาระ หรือสาเหตุจากตัวโรคเอง
- การดูแล คือ ควรให้
- ผู้ป่วยตัดเล็บสั้น และหลีกเลี่ยงการเกา
- ใส่เสื้อผ้าเนื้อนุ่มและหลวม
- เวลาอาบน้ำควรใช้สบู่อ่อนๆ และไม่อาบน้ำอุ่นจัด
- ใช้น้ำมันสำหรับเด็กอ่อนทาผิวหลังอาบน้ำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังกรณีคันจากตัวโรค
- เมื่อดูแลแล้วอาการคันไม่ดีขึ้น ควรต้องปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล
11. การเกิดแผลกดทับ:
- การกดทับบางส่วนของร่างกายอย่างต่อเนื่องเพียง 2 ชั่วโมง สามารถทำให้เกิดแผลได้และมักเกิดในจุดที่รับน้ำหนัก เช่น ก้นกบ และข้อต่าง ๆ
- การดูแล คือ
- ควรพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง และ
- จัดหาเตียงลมหรือที่นอนน้ำเพื่อให้นอนสบายและเพื่อมีการกระจายน้ำหนักตัวไม่กดลงจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป และ
- ดังกล่าวแล้วต้องรักษาความสะอาดผิวบริเวณกดทับ เมื่อผิวเริ่มเปลี่ยนจากปกติ ควรต้องรีบปรึกษาแพทย์/พยาบาล/พามาโรงพยาบาล
ข. การดูแลด้าน จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ: ที่สำคัญ คือ
1. ให้ความรักและความเห็นใจ ความรักและกำลังใจจากลูกหลาน ญาติมิตร และผู้ดูแล เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถลดทอนความกลัว และช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจได้
2. ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความตายที่จะมาถึง เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา โดยควรเริ่มก่อนถึงวาระสุดท้าย อาจต้องบอกความจริงเรื่องโรค และให้เวลาฟังความรู้สึกจากผู้ป่วย ข้อนี้ต้องอาศัยสัมพันธภาพที่ดีของผู้ดูแลด้วย
3. ช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม อาจน้อมนำได้หลายวิธี เช่น นำสิ่งที่ผู้ป่วยเคารพนับถือมาไว้ที่ห้อง เพื่อให้ระลึกนึกถึง ชวนให้สวดมนต์ตามหลักศาสนา
4. การช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ ได้แก่ ภาระกิจการงานที่ยังคั่งค้าง ทรัพย์สมบัติที่ยังไม่มีผู้จัดการ หรือมีความรู้สึกผิดบางอย่างอยู่ในใจ
5. แนะนำให้ผู้ป่วยปล่อยวางสิ่งต่างๆ ผู้ป่วยมักยังยึดติดกับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้เกิดความกังวลควบคู่กับความกลัวที่จะต้องพลัดพรากสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้ดูแลต้องแสดงให้ผู้ป่วยมั่น ใจว่า มีผู้จัดการสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้เรียบร้อยได้ และพยายามช่วยให้ผู้ป่วยปล่อยวางความรู้สึกไม่ยึดติด
6. สร้างบรรยากาศที่สงบและเป็นส่วนตัว งดการเถียงกัน ร้องไห้ ให้ผู้ป่วยเห็นหรือได้ยิน อาจใช้วิธีทางศาสนามาช่วยสร้างบรรยากาศได้ เช่น เปิดบทสวดสรรเสริญพระเจ้า (ในชาวคา ทอลิก)
บรรณานุกรม
1. ศ.เกียรติคุณพญ.สุมาลี นิมมานนิตย์ . ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะใกล้ตาย , กรุงเทพ ; โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ (1987) ; 2550 .
2. ศากุน ปวีณวัฒน์ , อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช . เอกสารการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายสำหรับญาติ ; การประชุมวิชาการ 4 ทศวรรษรามาธิบดี ; 2552
3. อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช . การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัว . เอกสารโรเนียว ; 2554