กระดานสุขภาพ

มีโอกาสตั้งครรภ์หรือเปล่าคะ ?
Alki*****e

8 กันยายน 2556 07:06:28 #1

สวัสดีค่ะ คือว่าโดยส่วนตัวเป็นคนที่ประจำเดือนมาไม่ค่อยสม่ำเสมอค่ะ คือเดือนนึงจะมาบ่อย มาหลายวัน

เคยมีโอกาสได้ไปหาหมอ หมอบอกว่ารังไข่ยังต้องปรับตัว(อะไรประมาณนี้อะคะ) ก็ได้กินยาคุมกำเนิดมาเรื่อยๆเป็นระยะ ตามที่หมอสั่งค่ะ

แล้วทีนี้ ได้กินยาคุมกำเนิดล่าสุดเมื่อ เดือน เม.ย. - มิ.ย. (3 เดือน) พอหยุดทาน เดือนถัดมาก็ปกติค่ะ ประจำเดือนมาวันที่ 22-28 

แล้วพอเดือน สิงหา ได้มีเพศสัมพันธ์กับแฟนวันที่ 19 แต่ไม่ได้มีการสอดใส่ค่ะ แค่เอาอวัยวะเพศมาโดนกันเฉยๆ

แต่บางครั้งปลายอวัยวะเพศของแฟนก็มาโดนตรงปากช่องคลอดค่ะ แต่ไม่เคยมีการหลั่งโดน หรือสอดใส่เข้าไปเลย

พอถึงช่วงที่ประจำเดือนกำลังจะมา (วันที่20)จะมา ก็ทำงานดึกบ้าง แทบไม่ได้นอน 2วัน จนถึงวันที่ 27 เริ่มเอะใจว่าทำไมประจำเดือนยังไม่มา

ก็คิดว่าคงเพราะทำงานเยอะเลยเครียด เลยไปซื้อยาสตรีมาทาน พร้อมกับที่ตรวจครรภ์ค่ะ 

แต่ใจร้อนตรวจตอนกลางคืนวันนั้นเลย ขึ้นขีดเดียวค่ะ เลยไม่ได้สนใจอีก พอวันที่ 1 ประจำเดือนก็ยังไม่มาอีก เลยไปคุยกับเภสัชที่ร้านขายยา

ก็เล่าให้ฟังอย่างที่พิมพ์มา แล้วเขาก็แนะนำมาว่าถ้าอยากให้ประจำเดือนเดือนนี้มา ก็ให้ทานยาเลื่อนประจำเดือน 5วัน หลังทานได้ 1-2 วัน

ประจำเดือนจะมาเอง ถ้าไม่มาแปลว่าท้อง ก็เลยเลือกทานยาเลื่อนค่ะ พร้อมกับซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วย คราวนี้ตรวจครรภ์ตอนเช้า ใช้ปัสสวะแรก

ขึ้นขีดเดียว ก็เริ่มโล่งใจแล้ว แต่พอหลังจากทานยาเลื่อนเสร็จ วันนี้ก็เข้าวันที่3 แล้ว ประจำเดือนยังไม่มาเลยค่ะ แปลว่าท้องเหรอคะ? 

ถ้าไม่ใช้ร่างกายผิดปกติอะไรรึเปล่าคะ (ตอนที่ไปหาหมอสูตินรีแพทย์เมื่อประมาณ 4ปีที่แล้วเคยอัลตราซาวน์ หมอบอกว่าปกติค่ะ)

ควรทำอย่างไรดีคะ ??? // ขอโทษนะคะที่พิมพ์มายาว แค่อยากบอกให้ละเอียดๆเลยน่ะค่ะ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ :)

อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 53 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.00 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

10 กันยายน 2556 07:02:11 #2

จากประวัติทั้งหมดนั้น หมอขอสรุปดังนี้ครับ

1. เรื่องตั้งครรภ์ หากการมีเพศสัมพันธ์นั้น ไม่มีการสอดใส่อวัยวะเพศเลย ไม่มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์นะครับ ยิ่งหากตรวจการตั้งครรภ์แล้วด้วย สบายใจได้ครับ

2. จากประวัติที่ต้องทานยาคุมกำเนิดช่วยเรื่องประจำเดือน น่าจะเป็นภาวะที่เรียกว่า DUB หรือ คือ dysfunctional uterine bleeding นั้นหมายถึงการที่มีเลือดออกผิดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่คือมาไม่สม่ำเสมอ อาจมีประวัติเลือดประจำเดือนขาดหายไป 2-3 เดือน อาจมากกว่านี้ก็ได้ แล้ว เลือดก็ออกมาปริมาณมาก หรือ กะปริดกะปรอย ครับ ซึ่งจะวินิจฉัยภาวะนี้ได้ จะต้องหาสาเหตุอื่นๆแล้ว ไม่พบครับ จึงจะวินิจฉัยภาวะนี้ได้ ซึ่งภาวะนี้ เกิดจาก ความผิดปกติของการตกไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติไป ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติในช่วงแรก ทำให้ประจำเดือนขาดหายไป ต่อมา เมื่อหนาตัวมากขึ้น จนมีการแตกหรือลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้มีเลือดออกมาปริมาณค่อนข้างมาก หรือ อาจกะปริดกะปรอย มาไม่เป็นรอบ ลักษณะแบบนี้ ก็จะวนเวียนไปมา ครับ ซึ่งสาเหตุของการตกไข่นั้น มักมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด เป็นต้นครับ

3. การทานยาในกลุ่มยาขับเลือดนั้น ยาประเภทนี้ เป็นยาที่มีประโยชน์ครับ แต่การควบคุมปริมาณของสารทีี่ออกฤทธ์ิคล้ายฮอร์โมนที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ อาจทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก หรือ มีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ ดังนั้น หมอคิดว่า ในความเห็นของหมอ ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกตินั้น เกิดจากอะไร

4. การทานยาเลื่อนประจำเดือนนั้น น่าจะเป็นยากลุ่มฮอร์โมนโปรเจสโตรโลน ซึ่งจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลุกสลายตัวออกมาเป็นประจำเดือน มักใช้ในภาวะ DUB ที่หมอกล่าวไป แต่ก็ต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ออกไปก่อนที่จะสรุปว่าเป็นภาวะนี้นะครับ ซึ่งปกติแล้ว หากประจำเดือนไม่มาค่อนข้างนาน ก็อาจต้องทานยากลุ่มนี้ นานสักนิดครับ ประมาณ 10 - 14 วันครับ การทานเพียง 5 วัน อาจไม่เพียงพอในการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุครับ ดังนั้น หมอแนะนำ หากประจำเดือนยังไม่มาใน 1 สัปดาห์ หรือ มีเลือดออกมาปริมาณมาก หรือ กะปริดกะปรอย ก็ควรมาพบสูตนรีิแพทย์นะครับ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และ ไม่ใช่สาเหตุจากการตั้งครรภ์อย่างแน่นอนครับ