กระดานสุขภาพ

เลือดล้างหน้าเด็ก
Anonymous

27 กุมภาพันธ์ 2562 15:31:51 #1

คือมีประจำเดือนวันสุดท้ายวันที่17 และมีเพศสัมพันธ์กับแฟนวันที่20โดยสวมถุงยางป้องกัน แต่วันที่26มีเลือดออกมาเป็นสีน้ำตาลเข้มในปริมาณเยอะนิดหน่อยตอนกลางคืนก็มีจนวันที่27ก็ยังมีอแกมาในลักษณะสีน้ำตาลเข้มในปริมาณเหมือนประจำเดือนเวลามาปกติไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่อยากทราบว่าคือเลือดประจำเดือนที่มาก่อนกำหนดหรือเลือดล้างหน้าเด็กคะ(ถุงยางไม่รั่วนะคะเช็คแล้ว)
อายุ: 18 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 51 กก. ส่วนสูง: 163ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.20 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

28 กุมภาพันธ์ 2562 05:00:40 #2

ช่วงที่คุณมีเพศสัมพันธ์คือวันที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่หมดประจำเดือนไปแล้ว 3 วัน ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นระยะปลอดภัยหรือไม่แต่ระยะปลอดภัยที่คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ตั้งครรภ์คือในช่วง 5 วันแรก นับจากวันที่มีประจำเดือนมาวันแรก ไม่ใช่นับจากวันที่ประจำเดือนหมด ดังนั้น ถ้าคุณมีประจำเดือนมาวันแรกวันที่ 16 กุมภาพันธ์ระยะปลอดภัยก็จะอยู่ในช่วงวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้โดยไม่ต้องป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีรอบเดือนมาตรงสม่ำเสมอ ระยะปลอดภัยก็จะอยู่ในช่วง 7 วันแรกนับจากวันที่มีประจำเดือนมาวันแรก นั่นหมายถึงระยะปลอดภัยจะยื่นออกไปอีก 2 วันคือจะอยู่ในช่วงวันที่ 16-22 กุมภาพันธ์ คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีรอบเดือนไม่ปกติจะไม่สามารถใช้การนับวันหรือระยะปลอดภัยได้ มีความจำเป็นที่จะต้องคุมกำเนิดให้ดี คุณคุมกำเนิดด้วยการสวมใส่ถุงยางอนามัยและมีการตรวจสอบอย่างดีแล้วว่าถุงยางไม่มีรอยรั่ว ไม่มีรูซึม ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าไม่ควรมีการตั้งครรภ์อย่างแน่นอนค่ะ ที่คุณมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดน่าจะเกิดจากการทำงานของรังไข่ที่ไม่ปกติ เช่น ภาวะไข่ไม่ตก เป็นต้น จึงทำให้มีเลือดออกผิดปกติออกมา ไม่ควรจะเป็นเลือดล้างหน้าเด็กหรือเลือดที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อน ถ้าคุณไม่สบายใจก็ควรทำการ ตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ร่วมด้วย โดยควรทำการตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ผลการตรวจจึงจะเชื่อถือได้ค่ะ แต่จากประวัติที่คุณบอกมาน่าจะไม่ใช่การตั้งครรภ์แต่เป็นเลือดที่ออกผิดปกติซึ่งสามารถทานฮอร์โมนโปรเจสโตเจนที่เกิดขึ้นได้ โดยสามารถปรึกษาเภสัชกรตามร้านขายยาหรือถ้าไม่แน่ใจก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ