กระดานสุขภาพ

มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
Anonymous

19 กุมภาพันธ์ 2561 15:47:25 #1

ทานยาคุมแบบ 21 เม็ดค่ะ ในช่วงระยะหยุดยา 7 วัน โดยปกติประจำเดือนจะมาวันที่ 4-5 นับจากหยุดยา และในช่วงหยุดยาวันที่ 1-2 ก็มีเพศสัมพันธ์กับแฟนปกติใส่ถุงยางค่ะ แต่หลังจากมีเพศสัมพันธ์ใช้ทิชชู่เช็ดก่อนลุกไปทำความาะอาดที่ห้องน้ำ มีน้ำหล่อลื่นปนกับเลือดค่ะ ซึ้งจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งในช่วงหยุดยาคุม แต่โดยปกติไม่ทีเลือดค่ะ แบบนี้อาจเป็นโรคอะไรไหมคะ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/0d0ce-41853.jpg

อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.53 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

24 กุมภาพันธ์ 2561 16:34:25 #2

เลือดที่ออกน่าจะเป็นเลือดที่มาจากผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่ลอกหลุดออกมาไม่หมด ดังนั้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มันจะมีการหดรัดตัวของมดลูกเมื่อถึงจุดสุดยอดหรือจุด orgasm ก็จะทำให้เรามีเลือดออกมาทางช่องคลอดให้เห็นได้ ซึ่งไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ถ้าคุณไปรับการตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูก เป็นประจำทุกปี ผลปกติดีและไปรับการตรวจอัลตราซาวด์ว่าไม่มีเนื้องอกของมดลูกหรือความผิดปกติที่รังไข่ ก็จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้มากขึ้นว่าไม่มีความผิดปกติอื่นใดเกี่ยวกับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน คุณสามารถทานยาคุมอย่างต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆค่ะ
________________________________________

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

3 มีนาคม 2561 19:30:10 #3

จากที่กล่าวมา หากทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์นั้นอยู่ในช่วงที่ทานยาคุมกำเนิดอยู่และทานอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งครรภ์ครับ ส่วนในเรื่องเลือดที่ออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์นั้น ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่หากมีการสอดใส่ค่อนข้างรุนแรงประกอบกับไม่มีสารคัดหลั่งหรือหล่อลื่นมากพอ อาจทำให้เยื่อบุข่องคลอดของผู้หญิงบาดเจ็บและเป็นแผลถลอกได้ เป็นผลให้มีเลือดออกและติดเชื้อตามมาได้ครับ ซึ่งปกติแล้วจะหายไปได้เองครับ เพียงแต่รักษาความสะอาด งดเพศสัมพันธ์ก่อน หากมีอาการบวม แดง ร้อน หรือไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องครับ ส่วนสาเหตุอื่นๆที่เป็นไปได้ของเลือดออกผิดปกติหลังจากการมีเพศสัมพันธ์นั้นอาจมาจากความผิดปกติบริเวณปากมดลูกหรือช่องทางคลอดครับ อาจเป็นรอยโรคที่บริเวณปากมดลูก เช่น ต่ิงเนื้อ (polyp) ปากมดลูกมีเนื้อเยื่อผิดปกติ เป็นต้นครับ ดังนั้น ควรมาตรวจภายในกับสูตินรีแพทย์นะครับ เพื่อจะได้หาสาเหตุครับ