กระดานสุขภาพ

หนองในเทียม รักษาไม่หายค่ะ
Anonymous

19 กุมภาพันธ์ 2556 16:42:27 #1

หลังจากมีเพศสัมพันธ์เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว แต่อาการป่วยเริ่มในกลางเดือนพฤศจิกายน

1*มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบและตกขาวเป็นจำนวนมาก จึงทานยาแก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แล้วอาการหายไป ได้ประมานสองสัปดาห์  และคุณหมอได้ส่งตรวจ PCR คลาไมเดีย และโกโนเรียด้วย ผลพบว่ามีเชื่อคลาไมเดีย แต่ไม่มีโกโนเรีย คุณหมอให้ยาAzitromycin 1g และยาmetronidazole200mgทานวันละ3ครั้งเป็นเวลา1สัปดาห์  มาทาน คู่กับแฟน(แฟนไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อ แต่มีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต)

รพ.บำรุงราช

2*หลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ เริ่มมีตกขาวกลับมา และเริ่มปัสสาวะขัดเล็กน้อย จึงไปตรวจอีกครั้ง คุณหมอพบเชื้อแบคทีเรียในตกขาว คุณหมอจึงให้ยา metronidazole มาอีก แต่เพิ่มเป็น 500 mg เช้า เย็น เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และ ยาเหน็บ GYNYCON ใช้เจ็ดเม็ด วันละเม็ด อาการหายไปสองสัปดาห์

รพ.จุฬา

3*ตรวจที่คลินิกนิรนาม คุณหมอตรวจพบว่ามีอาการตกขาวที่มีเช้ือแบคทีเรีย จึงให้ยา clindamycin 100 mg ทานเช้าเย็น 1สัปดาห์ และ ยาdoxycyclin 100 mg ทานเช้าเย็น เป็นเวลาสองสัปดาห์ แฟนมาตรวจด้วยในครั้งนี้ และพบการติดเชื้อในำกระเพาะปัสสาวะ ได้รับยาdoxycyclin มาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อทานไปได้หนึ่งสัปดาห์ จึงทราบว่า ยาdoxycyclin จะทำปฎิกิริยากับ loaccutane(กรดวิตามินเอรักษาสิว)จึงหยุดยารักษาสิว(ทานยานี้มาครึ่งปีแล้วค่ะ) ขณะนี้ครบสองสัปดาห์แล้ว(แต่ยังไม่หยุดยา เพราะเห็นว่าอาทิตย์ที่ยังทานคู่กับยาแก้สิว ยาอาจไม่ได้ผล) แต่ขณะนี้มีปัสสาวะขัด(อาการแย่กว่าเมื่อเริ่มรักษา) และตกขาวกลับมาอาการหนักขึ้น 

คลินิกนิรนาม

***หมายเหตุ:ยังไม่ได้ตรวจเชื้อคลาไมเดียซ้ำอีกครั้งว่าหายหรือไม่ เพียงแต่ตรวจโดยการย้อมกรัมเท่านั้น ไม่สามารถระบุสายพันธ์ได้

***หมายเหตุ:ต่อมน้ำเหลืองของแฟนเล็กลงตามลำดับ ไม่เคยมีหนองออกมา แต่ยังไม่ยุบลงสนิทค่ะ

ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ คือตอนนี้ไม่มีทุนทรัพย์ในหารตรวจเท่าไรนัก ในครั้งแรกคุณแม่พาไปเพราะเห็นว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในคร้ังต่อๆมา จึงไปตรวจด้วยตนเอง จะขอถามคุณหมอว่า

1จำเป็นมากไหมคะที่ต้องรัน PCR

2ควรทำsusceptibility test ต่อยาหรือไม่คะ คุณหมอที่คลินิกนิรนามแจ้งว่าคลาไมเดียเป็นเชื่อที่ขึ้นยาก ทำsusceptibility test มักไม่ค่อยได้ผล

3.ไม่ทราบว่ากรดวิตามินเอ มีผลต่อยาdoxycyclin ทำให้รักษาไม่หายจริงหรือไม่ และ เมื่อยุดยาแก้สิวไป ยาdoxycyclinจะทำงานได้ดีหรือไม่คะ

4.มีวิธีไหนแนะนำบ้างหมคะ เช่นทานยาตัวไหนให้อาการหายไป หรือจำเป็นจะต้องตรวจวิธีไหนคะ

ขอบคุณมากค่ะ

อายุ: 19 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 171ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.84 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

19 กุมภาพันธ์ 2556 16:49:10 #2

ขอเพิ่มเติมค่ะ คือตอนนี้ปวดปัสสาวะบ่อยมาก แต่ออกมาทีละน้อย อาการเหมือนกะเพาะปัสสาวะอักเสบ ไม่ทราบว่าควรทานยาแก้กะเพาะปัสสาระอักเสบไปเลยได้ไหมคะ กลัวจะเข้าห้องน้ำไม่ทันค่ะ

Anonymous

19 กุมภาพันธ์ 2556 16:52:51 #3

ขอเพิ่มเติมอาการนะคะ แต่ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวรึเปล่านะคะ
คืออุจจาระ ราดน้ำแล้วมีคราบเหลืองที่ชักโครกทุกครั้งที่มีอาการค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

21 กุมภาพันธ์ 2556 09:21:48 #4

หมอขอให้ข้อมูลในลักษณะความคิดเห็นเพิมเติมนะครับ

จากประวัติ หมอคิดว่า ปัญหาหลักคือ โรคกระปัสสวะอักเสบและมีอาการตกขาวร่วมด้วย โรคที่คาดว่าเป็นไปได้คือ

  1. การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease) และทำให้มีอาการปัสสวะอักเสบร่วมด้วย
  2. มีการติดเชื้อแบคทีเรียทางเดินปัสสวะ และ มีอาการตกขาวจากการติดเชื้ออื่น

ซึ่ง จากประวัติอาการตกขาวนั้น พบว่าเป็นการติดเชื้อ clamydia ซึีงปกติแล้ว การตรวจต้องใช้ การตรวจพิเศษ ซึ่งบางโรงพยาบาลอาจทำไม่ได้และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่หากทำใด้ก็เป็นการตรวจที่ดีมากครับ ดังนั้นหากสามารถตรวจได้และผู้รับการรักษาสามารถรับค่าใช้จ่ายได้ครับ ในบาง โรงพยาบาล หากวินิฉัยการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease) ก็มักจะให้ยาที่ครอบคลุมเชื้อดังกล่าวไปด้วย เนื่องจาก เป็นเชื้อที่พบบ่อย เป็นสาเหตุของโรคดังกล่าวและหากไม่รักษา เชื้อดังกล่าวอาจทำให้ส่งผลต่อเนื่อเยื่อ โดยเฉพาะท่อนำไข่ อาจทำให้เป็นพังพืด ส่งผลให้ ตีบ ตัน เป็นสาเหตุของมีบุตรยากครับ

สิ่งที่อาจจำเป็นต้องทำ คือ การตรวจปัสสวะดูการติดเชื้อและนำไปเพาะเชื้อ เนื่องจากอาการที่หมอฟัง ดูเหมือน จะมีอาการของกระเพาะปัสสวะอักเสบยังไม่ดีขึั้น การเพาะเชื้อจะทำให้ทราบว่ายาปฎิชีวนะ ทีให้ไป สามารถรักษาเชื้อนั้นๆ ได้หรือไม่

ส่วนยา กรดวิตามินเอ ที่ใช้รักษาสิวนั้น (isotretinoin) กันยาปฎิชีวนะ ชื่อ doxycycline นั้น มีผลต่อกันนะครับ (drug interaction) ไม่ควรทานด้วยกัน เพราะจะมีผลข้างเคียงได้มากที่รุนแรงอาจทำให้ความดันในสมองสูงขึ้นแต่พบได้น้อยมากๆครับ และ ทำให้ยาฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ

ดังนั้น ตอนนี้ หมอแนะนำให้ไปพบแพทย์ครับ อาจจำเป็นต้อง ตรวจปัสสวะใหม่ เพื่อหาเชื้อโรคและความจำเพาะต่อยา อาจต้องอัลตราซาวด์หากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease) ยังไม่ดีขึ้น อาจมีถุงหรือก้อนหนองในช่องท้องได้ ยิ่งหากมีไข้ หนาวสั่น ปัสสวะเป็นเลือด หรือ ตกขาวปริมาณมากขึ้น อาจต้องได้รับยาปฎิชีวนะทางเส้นเลือดครับ