กระดานสุขภาพ

สอบถอมเกึ่ยวกับโรคเริม
Inzy*****e

20 กรกฎาคม 2559 05:18:38 #1

ผมเป็นโรคเริมครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว ครั้งที่2ปีนี้ ทั้ง2ครั้งพบแพทย์ครับ

อยากสอบถามว่า ถ้าเป็นครั้งที่3 จำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่ครับ หรือ สามารถหายเเองได้

และผมอ่านเจอมาว่า โรคเริมทำให้ความเสี่ยงในการรับเชิ้อhiv เพิ่มมากขึ้น นอกจากสวมถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์

ต้องระมัดระวังอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ครับ เช่น ถ้าไม่รู้ตัวว่าเริมขึ้น หรือ จะดูยังไงว่ารอยแผลจากโรคหายชัดเจนแล้วครับ

ขอบคุณครับ

อายุ: 35 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 69 กก. ส่วนสูง: 169ซม. ดัชนีมวลกาย : 24.16 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

21 กรกฎาคม 2559 04:58:50 #2

เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไป แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง สำหรับเรื่องการติดต่อนั้นโดยทั่วไปแล้ว จะติดต่อกันได้ง่ายขณะที่มีรอยโรค เช่น ตุ่มน้ำ หรือขณะที่มีแผล อย่างไรก็ตามมีการศึกษาที่ประเทศอเมริกาพบว่า อาจพบเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งหรือเมือกบริเวณอวัยวะเพศได้แม้ไม่มีอาการแสดงของตุ่มน้ำหรือแผล เป็นไปได้ว่าอาจมีแผลที่ปากมดลูก หรือในช่องคลอดหรือในท่อปัสสาวะซึ่งไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากภายนอก โดยพบประมาณ 10% ของจำนวนวัน คือใน 1 ปีอาจพบได้ 36 วัน ในขณะที่ถ้ามีรอยแผลจะพบ 21% คือ 77 วัน เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะติดเชื้อเริมจากคนที่เคยเป็นเริมมาก่อนก็เป็นไปได้แต่จะน้อยกว่าการติดเชื้อขณะที่มีตุ่มน้ำหรือแผล ในกรณีของคุณที่เคยเป็นมาแล้ว ถ้าเป็นไม่มาก ก็จะหายเองได้ แต่ถ้าเป็นรุนแรงก็ควรจะกินยา acyclovir สำหรับเรื่องความเสี่ยงในการติดเชื้อเอดส์นั้น ถ้าร่วมเพศขณะที่มีแผลอยู่ เชื้อเอดส์ก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายผ่านแผล หรือถ้าติดเชื้อเอดส์ด้วย น้ำเหลืองที่ไหลออกจากแผลก็จะมีเชื้อเอดส์ด้วย ทำให้แพร่เชื้อให้คนอื่นได้ง่าย