กระดานสุขภาพ

หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศภายในเป็นแผลมีหนอง
Anonymous

1 มิถุนายน 2559 04:03:08 #1

เมื่อวันพฤ.ที่26มีเพศสัมพันธ์กับแฟน หลังเสร็จกิจ เกิดอาการบวม-ปวดมาก จึงไปปรึกษาเภสัชในวันเสาร์ที่28 เภสัชให้ยาลดอาการปวด-ยาแก้อักเสบมากิน กินแล้วก็หายปวด และเมื่อวันอาทิตย์ที่29ได้เปิดหนังหุ้มมาทำความสะอาดเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีแผลด้วยแต่เป็นแผลเล็กๆ จึงไปปรึกษาเภสัช และเภสัชก็ให้ยามาทา ชื่อยา"Bactacin"

ทามาได้ประมาณ2วัน อาการไม่ดีขึ้นและเหมือนแผลจะติดเชื้อเนื่องจากมีหนองซึมตลอดเวลาแต่ไม่มีกลิ่นและแสบมาก

ภาพอาการตอนนี้ ควรไปพบหมอเฉพาะทาง หรือสามารถหาซื้อยามาทาเองได้ครับ

ถ้าสามารถหาซื้อยามาทานเองได้ขอทราบชื่อของยาด้วยครับ

 

http://haamor.com/media/images/webboardpics/87096-28837-2.jpg

อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 86 กก. ส่วนสูง: 172ซม. ดัชนีมวลกาย : 29.07 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

2 มิถุนายน 2559 04:55:27 #2

ดูจากรูปที่ส่งมา เห็นเป็นแผลตื้นๆรอบหยังหุ้มและหนังหุ้มรัด ทำให้บวม ลักษณะคล้ายกับแผลที่เกิดจากการแพ้ยา เช่นยาแก้ไข้ ยาแก้อักเสบ จะเริ่มด้วยการเป็นตุ่มพองแล้วแตกเป็นแผล อาจจะมีแผลในช่องปากร่วมด้วย ต้องหยุดกินยาที่สงสัยว่าจะแพ้ ล้างแผลโดยใช้น้ำเ้กลือล้างแผลที่ซื้อตามร้านขายยาล้างบ่อยๆ แต่หลังจากล้างแล้วให้รูดหนังหุ้มให้คลุมไว้เหมือนเดิม ถ้าเปิดทิ้งไว้อาจจะบวมมากขึ้น กินยาแก้แพ้ เช่น atarax ตรั้งละ 10 มิลลิกรัมเช้าเย็น แผลก็จะค่อยๆดีขึ้นใน 2 อาทิตย์ แต่อีกโรคที่ต้องระวังคือ ถ้าแฟนหรือคุณมีประวัติเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ เช่น มีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยาง ก็อาจจะเป็นโรคติดต่อ คือ เริม เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาการติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไป แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง

การที่เป็นแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ถ้ามีประวัติเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ คือเที่ยวผู้หญิงหรือมีคู่นอนหลายคน หคือแฟนมีความเสี่ยง ก็อาจจะเป็นโรคติดต่อ โรคที่พบบ่อยคือ

1. เริม เป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาการติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง
2. ซิฟิลิส จะเป็นแผลแข็ง ไม่เจ็บ รักษาโดยใช้ยาฉีด benzathine pencillin ปัจจุบันพบบ่อยขึ้นโดยเฉพาะในชายรักร่วมเพศ
3. แผลริมอ่อน แผลเจ็บและลึก ปัจจุบันพบไม่บ่อย

ถ้าไม่มีความเสี่ยง ก็ไม่ใช่โรคติดต่อ ผื่น แผลที่พบอาจเป็น 1. การแพ้หรือระคายเคือง แล้วเกาจนเป็นแผล รักษาโดยการใช้ยาแก้แพ้ เช่น betamethasone ทา เช้าเย็น หรือ 2. แพ้ยากินบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบ ยาแก้ไข้ จะเริ่มด้วยเป็นตุ่มพองคล้ายน้ำร้อนลวกหรือแผลไฟไหม้ ต้องหยุดกินยาที่สงสัยว่าจะแพ้ทันที กินยาแก้แพ้
โดยสรุป แนะนำหาหรือส่งรูปถ่ายชัดๆบริเวณที่เป็นเพิ่มเติมครับ

Anonymous

2 มิถุนายน 2559 13:36:12 #3

ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

รูปเพิ่มเติมครับ ไม่มีอาการเจ็บหรือปวด จะมีแค่แสบเวลาทำความสะอาดครับ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/87096-28837.jpg

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

4 มิถุนายน 2559 07:33:56 #4

ดูจากรูปแล้ว ลักษณะของแผลคล้ายกับการแพ้ยา ลองนึกดูว่าก่อนที่จะเป็นแผล ได้ซือยากินเองหรือไม่ เช่น ยาแก้ไข้ ยาแก้อักเสบหรือยาชุดจากร้านขายยา ถ้ามีกินจะมีอาการคันหลังจากินยา แล้วหนังหุ้มก็จะเริมพองหรือเปื่อยคล้ายโดนน้ำร้อนลวก และถ้ามีประวัติว่าเคยเป็นมาก่อน ก็น่าจะกิดจากการแะยา ให้รักษาตามที่ได้แนะนำไปแล้ว ถ้าไม่แน่ใจแนะนำหาหมอครับ