กระดานสุขภาพ

สอบถามผลตรวจแบบ ECLIA
V200*****9

12 กุมภาพันธ์ 2559 18:21:11 #1

มีความเสี่ยงครั้งแรกวันที่ 8/11/58 ครั้งที่สองวันที่24/11/58

จึงไปพบหมอที่ รพ.** เพื่อรับยาต้านฉุกเฉิน Teevir พร้อมตรวจเลือดแบบ ECLIA (ผลตรวจเป็นลบ) วันที่25/11/58

ตรวจเลือดครั้งที่2ตอนทานยาครบ(ทานยาต้านครบ28เม็ด) แบบECLIA ผลตรวจเป็นลบ วันที่23/12/58

ระหว่างการตรวจครั้งที่1-2 มีอาการเป็นหนองในเทียม(หาหมอทานยาหาย1อาทิตย์)

ปัจจุบัน12/2/59มีอาการคันเล็กน้อยที่บริเวณอวัยวเพศางครั้งก็ไม่เป็น,มีตุ่มใสบ้างแดงบ้างที่หนังหุ้มปลายกับปลายอวัยวเพศ, บางครั้งมีคราบที่ใต้คอหยักและหนังหุ้มปลาย พอใช้กระดาษเช็ดพบคราบสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น, เวลาไม่ถกหนังหุ้มปลายมีลักษณะหนา แต่เวลาถก ผิวหนังบริเวณนั้นมีลักษณะบางและเงา

1/2/59มีตุ่มขึ้นบริเวณคอขนาดประมาณ1ซม. ปัจจุบัน12/2/59ตุ่มมีขนาดเล็กลง(เหมือนจะอยู่ใต้ผิวหนัง)และมีสีคล้ำขึ้น 1ตุ่ม(ไม่แน่ใจว่าสีคล้ำขึ้นเกิดจากการถูหรือไม่)ถ้าเอนคอไปทางตุ่ม ให้หนังคอย่น พอคลำจะไม่เจอ แต่ถ้าเอนคอไปในทิศทางตรงกันข้ามให้ผิวหนังตึงจะคลำเจอเป็นตุ่มเล็กๆใต้ผิวหนัง

อยากทราบว่า

1.การตรวจแบบECILAเป็นการตรวจใช้น้ำยาgen4หรือไม่แล้วเชื่อถือได้มากน้อยอย่างไร

2.มีความเสี่ยงในการติดเชื้อHIVกี่เปอร์เซน(ตรวจที่1เดือน+กินยาต้าน)

3.ทานยาต้านครบ28เม็ด วันต่อมา มาตรวจมีโอกาศที่ยาต้านมากดเชื้อไว้ให้หาไม่เจอหรือไม่(ในกรณีติดเชื้อHIV)

4.อาการ ณ ปัจจุบัน 12/2/59 ที่มีความผิดปกติกับอวัยวะเพศ มีผลมาจากเชื้อHIV หรือไม่ และเป็นโรคอะไร มีการรักษาอย่างไร

5. อาการตุ่มที่คอใช่ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหรือไม่ หรือเป็นอะไร

ขอขอบคุณคำตอบล่วงหน้าครับ

อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 60 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.76 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

27 กุมภาพันธ์ 2559 06:54:56 #2

มีการศึกษาโอกาสของการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอดส์ 1 ครั้ง จากมากไปน้อยดังนี้ ชายหรือหญิงเป็นฝ่ายถูกสอดใส่ทางทวารหนัก 0.5% หญิงเป็นฝ่ายถูกสอดใส่ทางช่องคลอด 0.1% ชายเป็นฝ่ายสอดใส่ทางทวารหนัก 0.065% ชายเป็นฝ่ายสอดใส่ช่องคลอด 0.05% ชายหรือหญิงที่เป็นฝ่ายทำออรัลเซ็กส์ 0.01% ชายหรือหญิงเป็นฝ่ายถูกทำออรัลเซ็กส์0.005% อย่างไรก็ตามโอกาสจะเพิ่มขึนถ้าเป็นกามโรคหรือมีแผลด้วย

การกินยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังมีความเสี่ยง มีหลักการคือ ต้องกินให้เร็วที่สุดหลังเสี่ยง และอย่างช้าภายใน 72 ชม. ต้องกินยาต้านไวรัสสองหรือสามชนิดเป็นเวลา 28 วัน ก่อนกินยาต้องตรวจเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามการกินยาป้องกันไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ติดเชื้อ

1. และ 2 ชุดตรวจที่ถามมาเป็นวิธีการตรวจแบบ GEN 4 สามารถตรวจทั้งแอนติบอดี้และแอนติเจ็น ถ้าตรวจไม่พบว่ามีการติดเชื้อที่ 1 เดือน หลังเสี่ยง โอกาสที่จะติดเชื้อมีไม่ถึง 5% แนะนำตรวจซ้ำที่ 3 เดือนหลังเสี่ยง

3. มีการศึกษาพบว่าการกินยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ให้ตรวจเลือดเมื่อกินยาครบ ถ้าผลเป็นลบ ควรตรวจซ้ำอีกครั้งในอีก 1 เดือนต่อมา เพราะในการตรวจหลังกินยาครบทันที อาจจะมีผลลบปลอมจากการกินยาต้าน

4. อาการผิดปกติที่อวัยวะเพศ ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี อาจจะเกิดจากการที่หนังหุ้มปลายแพ้ ระคายเคืองสารที่ใช้ เช่น สบู่ยา ครีม เจลอาบน้ำ ร่วมกับความอับชื้นเนื่องจากหนังหุ้มยังไม่เปิดหรือเปิดไม่สุดหรือรัดเวลาอวัยวะเพศแข็งตัวหรือรูดลงไม่ได้สุด จึงทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึงแนะนำให้ทำความสะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เช่นสบู่เด็ก ล้างเบาๆแล้วซับให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ ทายาที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ชนิด triamcinolone 0.02% + ยาเชื้อรา clotimazoleทาบางๆ เช้าและก่อนนอนหลังอาบน้ำ น่าจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ในกรณีที่เป็นบ่อยอาจต้องระวังความอับชื้นและงดใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้และถ้าหนังหุ้มยาวเกินไปอาจต้องขลิบเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น การขลิบหนังเป็นการทำศัลยกรรมที่ถือว่าไม่ซับซ้อน แพทย์ศัลยกรรมทั่วไปทำได้ครับ ต้องมีการฉีดยาชา ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงน่าจะเสร็จ ถ้ารักษาแผลให้ดี ประมาณ 2-4 อาทิตย์ แผลก็จะหายดี ประโยชน์ของการขลิบ คือ ทำความสะอาดง่ายไม่เกิดแผลเวลามีเพศสัมพันธ์และมีการวิจัยที่ทวีปแอฟริกาพบ ว่าการขลิบหนังหุ้มปลายช่วยลดการติดเชื้อเอดส์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ขลิบ 40% แต่ ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้

5. สำหรับตุ่มที่คอ ไม่น่าจะเป้นต่อมน้ำเหลทอง อาจะเป็นผิวหนัอักเสบ หรือเกิดจากการแพ้
โดยสรุป แนะนำให้ติดตามผลการรักษาจากหมอที่ดูแลคุณอยู่ มีอะไรสงสัย ก็สอบถามได้เลบ เพราะจะต้องมีการตรวจร่างกาย จึงจะให้คำตอบได้แน่นอน และถ้าพบว่าไม่ติดเชื้อ แนะนำให้ใช้ถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติอเชื้อเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ