กระดานสุขภาพ

ปรึกษาเรื่องปากช่องคลอดอักเสบลามไปถึงต้องตรวจมะเร็ง**เครียดมากคับเธอจะไปจากผมแล้ว
Anonymous

24 พฤศจิกายน 2558 03:42:40 #1

สวัสดีครับคุณหมอ ผมมีเรื่องปรึกษาเนื่องจากผมมีเพศสัมพันธ์กับแฟนมาได้ประมาณ 2-3 เดือน

มีทั้งใส่และไม่ใส่ถุงยาง และมีการกินยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ดร่วมด้วย ยี่ห้อ Jasmin

ช่วง 1เดือนแรกยังไม่มีปัญหาอะไร

ช่วงระยะ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ อาการที่เป็นนะครับ

**เธอเคยมีอาการปวดท้องน้อยอยากมากหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันเลยทันที

**ระยะก่อนประจำเดือนมา 2 วัน มีอะไรกันกับผม เธอมีเลือดออกติดออกมา 1 ครั้งไม่มีอาการเจ็บหรือปวดท้องร่วม

**หลังจากประจำเดือนหมดประมาณ2-3 วัน มีเลือดออกมาอีกหลังจากมีเพศสัมพันธ์กัน

    ผมและเธอมีคู่นอนแค่คนเดียวด้วยกันทั้งคู่ และก่อนหน้านี้ผมไปตรวจเลือดหาเชื้อ HIV และ กามโรคเพื่อความสบายใจปรากฏว่าไม่มีเชื้อ ผลเป็น negative ทั้งสองอย่าง

    เรามีเพศสัมพันธ์กันอาทิตย์ละประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งที่มีผมจะมีอะไรกับเธอหลายรอบมาก บางคืนมีมากถึง 6-7 รอบ และบางครั้งก็มีอะไรกันนานเป็นชั่วโมงก็มี แต่เฉลี่ยแล้วจะอยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อครั้งบางครั้งน้ำหล่อลื่นก็มากพอ บางครั้งไม่ได้เล้าโลมมากน้ำหล่อลื่นก็ยังไม่มาก 

    บางครั้งเราก็มีอะไรกันโดยที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด และบางครั้งผมก็ไม่ได้บอกให้เธอปัสสาวะทิ้งหลังจากมีเพศสัมพันธ์

หลังจากเลิอกออกครั้งสุดท้าย เธอกังวลว่าอาจจะมีอะไรผิดปกติจึงได้ไปตรวจที่คลีนิคสูตินารี

ผลการตรวจ

**ปรากฏว่าปากช่องคลอดของเธออักเสบ มีอาการแดงมาก เธอไม่มีอาการตกขาวผิดปกติ ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคัน

   การรักษาคุณหมอ ตรวจภายในและทายาให้ นอกจากนั้นมียากินฆ่าเชื้อ 2 ตัว ไม่มียาเหน็บ และหมดนัดตรวจมะเร็ง

   หลังจากนี้อีก 1 เดือน 

 

อยากเรียนถามคุณหมอมากครับเพราะตอนนี้เรามีปัญหากันเพราะเรื่องนี้

**เนื่องจากเธอไม่กล้าถามหมอว่าปากช่องคลอดอักเสบเพราะสาเหตุอะไร จากเหตุการณ์ข้างต้น สาเหตุมาจากอะไรได้บ้างครับ แต่เธอเข้าไปอ่านในเว็บไซด์ปรากฏว่าอาการนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จริงหรือไม่ครับ 

**อาการอักเสบสาเหตุเป็นเพราะผมไม่ใส่ถุงยางใช่มั้ยครับ เพราะมีผมคนแรกที่เธอยอมมีอะไรด้วยโดยไม่ใส่ถุงยาง

**อาการนี้สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ในอนาคตมั้ยหรือมีความเสี่ยงมั้ยครับ

**ทำไมถึงต้องเว้นระยะการตรวจมะเร็งของเธอนานถึง 1 เดือนครับ

**ในเมื่อมีอาการแบบนี้ ผมจำเป็นจะต้องทำการรักษาด้วยมั๊ย (ถ้าจำเป็นจะต้องรักษาด้วย จะต้องรักษายังไงบ้างครับรบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ)

**เมื่อทำการรักษาให้หายดีแล้ว ควรจะต้องดูแลหรือระมัดระวังในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่จะให้ไม่ต้องกลับมาเป็นอาการนี้อีก

 

รบกวนขอคำปรึกษาและแนะนำด้วยครับ

 

   

 

อายุ: 25 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 48 กก. ส่วนสูง: 162ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.29 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

26 พฤศจิกายน 2558 16:38:58 #2

อีกนิดนะครับคุณหมอ

คำนวนจากช่วงระยะเวลาที่ผมกับแฟนมีอะไรกัน โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอยู่แค่ประมาณ 2 เดือน

โดยก่อนหน้านี้คนอื่นๆ เธอสวมถุงยางตลอด

บนสมมติฐานที่ว่า ตัวแฟนผมไม่มีเชื้อ HPV อยู่ในร่างกายมาก่อน

หากเชื้อ HPV จากตัวผมติดไปยังแฟนจากการไม่ได้ใส่ถุงยาง ตามเงื่อนไขของเวลาตามที่แจ้ง

เป็นไปได้หรอครับที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูก หากได้รับเชื้อ HPV เข้าไปในช่วงนี้จริง

เป็นไปได้มั้ยครับที่ว่าคุณหมออยากให้เธอตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

เพราะว่า 1. ตัวเธอไม่เคยตรวจมาก่อนเลย อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกได้

โดยไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ปากช่องคลอดอักเสบในครั้งนี้(หรือว่าเกี่ยวข้องกันครับ)

สับสนมากเพราะคุณหมอไม่ได้อธิบาย เราก็ไม่กล้าถามครับ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

7 ธันวาคม 2558 11:22:22 #3

หมอขอตอบเป็นประเด็นดังนี้ครับ

1. หากในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งนั้น มีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนอย่างสม่ำเสมอ ถูกวิธี ถือว่า เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพครับ สบายใจได้

2. คำว่า ปากช่องคลอดอักเสบ นั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นะครับ เป็นเพียงคำที่บอกว่ามีการอักเสบเท่านั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียทั่วไปก็ได้ ซึ่งช่องคลอดและอวัยวะเพศนั้น ไม่ได้เป็นอวัยวะที่สะอาดอยู่แล้วครับ การที่มีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดก่อนหรือหลัง อาจทำให้มีอาการดังกล่าวได้ครับ ดังนั้น หมอคิดว่า ควรอธิบายให้แฟนเข้าใจโดยด่วนนะครับ อาจลองให้อ่านความเห็นนี้ของหมอก็ได้ครับ

3. ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีช่องคลอดอักเสบบ่อยๆ อาจเกิดจากการที่มีเพศสัมพันธ์ค่อนข้างบ่อยและหากมีอาการอักเสบอยู่เล็กน้อย อาจทำให้อาการเป็นมากขึ้นได้ครับ และอาการอักเสบนั้น ในกรณีนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกับว่าจะใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่ แต่การใช้ถุงยางอนามัยจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อบางชนิดลงได้ครับ

4. อาการนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับการเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ในอนาคตนะครับ

5. เหตุผลที่หมอขอให้เว้นระยะการตรวจมะเร็งปาดมดลูกออกไปก่อนนั้น เนื่องจากหากตรวจในช่วงนี้ที่มีอาการอักเสบ หรือในกรณีที่มีตกขาว ก็จะมีเซลล์อื่นๆที่บดบังเชลล์เยื่อบุปากมดลูก ทำให้แปลผลไม่ได้ครับ ส่วนใหญ่ก็จะให้อาการอักเสบ หรือ ตกขาวหายดีก่อน ทั่วไปก็ประมาณ 1 เดือนครับ

6. จากอาการที่กล่าวมานั้น ไม่ได้มีลักษณะของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นะครับ ดังนั้น ผู้ชายไม่จำเป็นต้องรักษาครับ

7. เชื้อไวรัส HPV นั้น โดยปกติแล้วร่างกายของผู้หญิงจะมีการต่อต้านและทำลายไปได้ครับ แต่หากมีการสัมผัสบ่อยๆ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อต่อไป ร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ และไวรัสนี้ก็จะไปติดต่อกับเซลล์ข้างเคียงส่งผลทำให้มีการสร้างเป็นเนื้อเยื่อที่เป็นระยะก่อนมะเร็งและกลายเป็นมะเร็งต่อไปได้ ซึ่งระยะการเปลี่ยนแปลงนั้น ใช้เวลาหลายปีครับ (โดยเฉลี่ย 8-12 ปีครับ)

8. เรื่องเลือดที่ออกมาหลังจากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะก่อนประจำเดือนมา 2 วัน หรือ หลังจากประจำเดือนหมดประมาณ 2-3 วัน นั้นสามารถเกิดขึ้นได้นะครับ ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือนที่กำลังจะมาและกำลังจะหมดครับ การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกมาเป็นเลือดหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น หากออกมาในช่วงอื่นๆ อาจจำเป็นต้องมาตรวจภายใจเพื่อตรวจปากมดลูกครับ

โดยสรุปแล้ว ปากช่องคลอดอักเสบ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ได้หมายถึงการติดเชื้อไวรัส HPV หรือเป็นมะเร็งปากมดลูกแต่อย่างใดครับ