กระดานสุขภาพ
มีตุ่มใสบริเวณหนังหุ้มอวัยเพศด้านใน ไม่แน่ใจว่าคืออะไร มีภาพครับ | |
---|---|
23 มีนาคม 2557 17:35:49 #1 สวัสดีครับคุณหมอครับ มีเรื่องรบกวนขอคำปรึกษาครับ ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากเหมือนจะเป็นแผลเล็กๆแดงๆ คิดว่าคงเป็นตอนนที่หนังหุ้มปลายกินเส้นขนรอบสวัยเพศเข้ามาแล้วเป็นแผลเลยไม่ได้สนใจ พอเลยมาสองสามวันจนวันนี้ ปรากฏเป็นตุ่มใสเล็กๆ3ตุ่มครับ เลยสงสัยว่าเป็นอะไรมากไหม ภาพประกอบครับ http://haamor.com/media/images/webboardpics/389d0-11160-1.jpg http://haamor.com/media/images/webboardpics/389d0-11160-2.jpg ปล1 ก่อนหน้านี้ซื้อยา Dermacombin Cream มาทาอวัยวะเพศวันละสองครั้ง เพราะตอนนี้สังเกตุว่าเหมือนมีแผงขาวๆที่ล้างไม่ออก เลยคิดว่าเป็นเชื้อราจึงซื้อมาใช้ทาได้ 2 อาทิตย์ (เพิ่งหยุดทาไปก่อนตุ่มขึ้น 1-2 วัน) ปล2 ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ทางใดมาก่อนเลยครับ ยกเว้นการใช้มือเท่านั้น เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนมีตุ่ม |
|
อายุ: 21 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 64 กก. ส่วนสูง: 173ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.38 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
25 มีนาคม 2557 04:31:41 #2 ดูจากรูปเห็นเป็นตุ่มน้ำใส รูปที่ 2 เห็นเป็นแผลตื้นๆ ลักษณะคล้ายกัยเริม เริม เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาการติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เช่นการสอดใส่ หรือการออรัลเซ็กส์ โดยไม่ใช้ถุงยาง ก็ไม่น่าจะเป็นเริม อาจเป็นการระคายเคือง แพ้สารที่สัมผัสหรือเป็นเชื้อราร่วมด้วย ส่วนยาที่ใช้อยู่ dermacombin เป็นยาแก้แพ้ผสมยาเชื้อรา ใช้มา 2 อาทิคย์ไม่ดีขึ้น คงต้องหาหมอผิวหนังครับ
นพ. อนุพงศ์ |
Anonymous