กระดานสุขภาพ

ลูกชายอายุ 5ขวบครึ่งแล้ว ยังอุจระไม่บอกทำไงดี
Noo_*****2

21 ธันวาคม 2555 07:11:56 #1

ลูกชายอายุ 5 ขวบครึ่งแล้ว ยังอุจระไม่บอก  แต่ปัสวะ สามารถทำเองได้ ใช้วิธีหลายวิธีแล้ว ทำไงดีค่ะ

อายุ: 5 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 25 กก. ส่วนสูง: 110ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.66 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
น*****

24 ธันวาคม 2555 16:12:34 #2

ก่อนอื่นคงจะต้องค่อยๆแยกปัญหาออกเป็นกรณีๆก่อน ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญหลักๆดังนี้คือ

กรณีแรกถ้าหากว่า

1) เด็กไม่เคยขับถ่ายด้วยตัวเองได้เลยมาตั้งแต่เล็กๆ
ในกรณีนี้ต้องตรวจเช็คดูเรื่องพัฒนาการและโรคของระบบต่างๆโดยละเอียดก่อน
แล้วจึงค่อยมาตรวจวิเคราะห์ถึงขั้นตอนการเรียนรู้และประสิทธิ์ภาพในการฝึกของผู้ปกครองในลำดับต่อไป

1.1 กล่าวในรายละเอียด

ควรนึกถึงความผิดปกติเกี่ยวข้องกับโรคหรือการทำงานของระบบทางเดินอาหารที่อาจทำให้สภาวะการทำงานของลำไส้ผิดเพี้ยนไป เช่น โรคทางเดินอาหารในเด็ก การรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยมีกาก การดื่มน้ำน้อย หรือ ภาวะการทำงานของต่อมไร้ท่อที่ผิดปกติ เช่น ต่อมธัยรอยด์ที่ทำงานน้อยผิดปกติ โรคทางระบบสมองและไขสันหลังที่มีพัฒนาการล่าช้าผิดปกติ เป็นต้น ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจส่งผลกระทบได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ทำให้การย่อยมีปัญหา ทำให้ท้องอืดและ ทำให้อุจจาระแข็ง เจ็บช่องทวารเวลาที่ขับถ่าย

ในกรณีถัดมา ถ้าหากว่า

2) เด็กเคยขับถ่ายช่วยเหลือตัวเองได้แล้วอยู่ๆก็ทำไม่ได้
กรณีลักษณะนี้นี้ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เด็กตกอยู่ในภาวะ วิตกกังวล หรือมีความตึงเครียดสูง อาจเกิดจากบรรยากาศในครอบครัวหรือที่โรงเรียนไม่เป็นมิตรกับตัวเด็ก หรือในกรณีที่เด็กรู้สึกโดดเดี่ยวขาดความรัก ไม่มีใครสนใจและทำให้เกิดเปิดลักษณะพฤติกรรมถดถอย

2.1 กล่าวในรายละเอียด

ควรคำนึงถึงความพร้อมทางด้านพฤติกรรม ด้านความคิด อารมณ์ สติปัญญา จิตใจและสิ่งแวดล้อม การฝึกให้เด็กขับถ่ายภายใต้บรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร เข้มงวด และกดดันจนเกินไปอาจทำให้เด็กเครียดเกิดอารมณ์ต่อต้านซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเด็กไม่ยอมถ่ายตามมาได้ ในส่วนของความคิดผู้ปกครองต้องมั่นใจว่าบุตรหลานของท่านอยู่ในช่วงอายุและวุฒิภาวะที่เหมาะสมต่อการฝึกหัดในการควบคุมการถ่ายซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 1 1/2- 4 ขวบ

นอกเหนือจากนั้นเด็กต้องมีทักษะในการสื่อสารและรับฟังคำสั่งได้ดีคือเด็กต้องสามารถที่จะบอกได้เวลาที่ตนเองปวดท้องและจำเป็นที่จะต้องถ่ายท้อง ถ้าเด็กยังบอกไม่ได้เช่นในกรณีเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการทางด้านสติปัญญาหรือการสื่อสารที่ล่าช้านอกเหนือจากกลไกการควบคุมการขับถ่ายที่อาจล่าช้าอยู่ก่อนแล้ว ควรต้องพามาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินพัฒนาการโดยละเอียดเสียก่อน

อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญคือบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมและสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำผิดพลาดหรือล้มเหลวในขั้นตอนการฝึกโดยไม่ต้องถูกตำหนิหรือลงโทษจะมีส่วนในการช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น ในบางกรณีถ้าเด็กมีความเครียดสะสมมากๆอาจมีอาการแทรกซ้อนเป็นลักษณะของการกลัวห้องน้ำ หรือกลัวส้วมเกิดขึ้นร่วมด้วยได้

กรณีสุดท้าย

3) การใช้ยาบางตัวที่ทำให้ท้องผูกเป็นเวลานานๆ

3.1 กล่าวในรายละเอียด

เช่นยาในกลุ่ม ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดต้านอักเสบ (NSAIDs) ยาลดกรด (Antacid) ยารักษาโรคลมชัก (Anticonvulsant) ยารักษาโรคจิตซึมเศร้า (Antidepressant) ยาลดความดันโลหิตสูง ยาขับปัสสาวะ ธาตุเหล็ก กลุ่มยาที่เข้าฝิ่น ยาคลายการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ยารักษาโรคประสาท เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับหรือเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นๆที่อาจมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ในส่วนของแนวทางในการช่วยเหลือ

  1. พาเด็กมาพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจประเมินโดยละเอียดเสียก่อน
  2. กำหนดช่วงอายุของการฝึกให้สมเหตุสมผล ไม่ควรรีบ เร่ง หรือ จริงจัง หรือบังคับมากจนเกินไป ช่วงอายุที่เหมาะคือไม่เร็วกว่า 2 ขวบ (ปัจจุบันพบว่าเด็กเล็กเข้าโรงเรียนเร็วกว่าสมัยก่อนตรงนี้อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การฝึกเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น)
  3. ปรับสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลาย การฝึกไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโถส้วมจริงๆเสมอไป
  4. ปรับพฤติกรรมให้เด็กฝึกนั่งบนกระโถนที่เตี้ยๆ 5-10 นาที 3 เวลาหลังอาหารเสียก่อน
  5. ให้รางวัลโดยการให้ดาว กอด หรือชมเชยเมื่อเด็กทำได้สำเร็จ แต่ถ้าเด็กทำไม่สำเร็จก็ไม่ควรดุเพราะจะยิ่งทำให้เด็กเครียด
  6. หยุดยากลุ่มที่ทำให้ท้องผูก หรือใช้ยาในกลุ่มหล่อลื้นหรือกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ถ้าอุจจาระแข็งมากๆก็สามารถสวนออกก่อนได้
  7. ในกรณีที่เด็กมีความตึงเครียดหรือครอบครัวที่อยู่ในภาวะวิกฤตควรพาเด็กมาพบจิตแพทย์เพื่อประเมิณความรุนแรงและช่วยเหลือเบื้องต้นเสียก่อน

 

นพ ชลภัฏ จาตุรงคกุล
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น