กระดานสุขภาพ

สงสัยโรคที่เป็นเกี่ยวกับท่อปัสสาวะหน่ะคับ
Pirt*****0

29 มิถุนายน 2560 07:59:31 #1

คือ ผมคันในท่อปัสสาวะ ตอนเช้าตื่นมาก็ มีน้ำเมือกขาว ขุ่นออกมา (ไม่ขาวทั้งหมดแต่จะกระจายอยู่ในน้ำใสหมือนน้ำอสุุจิ) ผมเคยไป โรงพยาบาลค่xxxxx เค้า ยื่นใบฉีดยาด่วนให้ผม แล้วก็ ให้ยา Cyflox กลับมารับประทานที่บ้าน

ผมทานยาหมดแล้วแต่ยังไม่หาย อาการคัน ขยับจาก ท่อส่วนบน ตอนนี้ เหมือนจะมาคันแถว ๆ ใต้ท่อชั้นล่างหน่ะคับ

ผมต้องทำไง ต่อคับ ผมสงสัยว่า หมอที่ รพ ค่xxxx วินิจฉัยผิดหรือปล่าว รบกวนช่วยหน่อยนะครับ

 

อายุ: 20 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 68 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.53 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

30 มิถุนายน 2560 16:41:02 #2

อาการที่เล่ามาน่าจะเกิดจากการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งแบ่งเป็น 1 ร่วมกับการมีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ เช่นมีคู่นอนหลายคน เที่ยวผู้หญิง ไม่ใช้ถุงยาง น่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือกามโรค ที่พบบ่อยคือ หนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียว ได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไปครับ ส่วนหนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิด ที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือ ด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ1- 2 อาทิตย์ ในปัจจุบันมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า ในกรณีที่เป็นๆหายๆ โดยทั่วไปมักเกิดจากการไปติดเชื้อใหม่ จากคู่นอน ซึ่งในผู้หญิงไม่ค่อยมีอาการผิดปกติและไม่รู้ว่าเป็นโรค เพราะฉะนั้นต้องรักษาทั้งคู่ครับ อย่างไรก็ตามพบว่าประมาณร้อยละ 50 อาจมีการติดเชื้อร่วมกัน คือเป็นทั้งหนองในแท้และเทียม ก็ต้องรักษาทั้งสองโรคคือ ทั้งฉีดและกิน 2 ถ้าไม่มีความเสี่ยง คือใช้ถุงยางทุกครั้งที่มีการร่วมเพศ ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต เป็นต้น ในกรณีของคุณที่รักษาแล้ว แต่อาการยังมีอยู่ แนะนำให้กลับไปหาหมอที่เดิมหรือหาหมอระบบสืบพันธ์และทางเดินปัสสาวะ ที่สำคัญต้องเล่าเรื่องเพศสัมพันธ์ว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ ใช้ถุงยางทุกครั้งหรือเปล่าเพื่อที่แพทย์จะได้ตรวจหาสาเหตุ และอาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องแล็บด้วย