โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity disorder: ADHD)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

โรค หรือ อาการ สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder ย่อว่า ADHD) เป็นโรคทางสมอง(โรคสมอง)ชนิดหนึ่งที่พบได้ตั้งแต่ในเด็กอายุ 4-5 ปีขึ้นไป และพบได้ประมาณ 5% ในเด็กวัยเรียน พบในเด็กผู้ชายมากกว่าในเด็กผู้หญิง ผู้ป่วยมักมีปัญหาการเรียน เช่น ไม่มีสมาธิ เรียนไม่รู้เรื่อง ทำงานไม่เสร็จ หรือมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น อยู่ไม่นิ่ง เล่นรุนแรง ดื้อ-ต่อต้าน แต่อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ด้วยการรักษาร่วมกันทั้งยา และการปรับพฤติกรรมของเด็ก

 

โรคสมาธิสั้นเกิดได้อย่างไร?

โรคสมาธิสั้น

ดังกล่าวแล้วว่า โรคสมาธิสั้นพบได้ประมาณ 5% ปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีสาเหตุจากอะไร เชื่อกันว่าปัจจัยทางกรรมพันธุ์และปัจจัยเสี่ยงต่างๆขณะอยู่ในครรภ์ (เช่น มีการตกเลือดของมารดา) ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารเคมี Norepinephrine และ Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญในการควบคุมสมาธิของสมองส่วนหน้าของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี หรือการดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคสมาธิสั้นแต่อย่างใด แต่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการสมาธิสั้นง่ายขึ้น

 

โรคสมาธิสั้นมีอาการอย่างไรบ้าง?

โรคสมาธิสั้น ประกอบด้วยกลุ่มอาการ 2 กลุ่ม ได้แก่

 

ก. กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น (Hyperactivity/Impulsivity) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาพฤติกรรม ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลขึ้นไป และ

 

ข. กลุ่มอาการขาดสมาธิ (Inattention) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาการเรียน ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กประถมศึกษาขึ้นไป

 

ทั้งสองกลุ่มอาการนี้ เป็นแค่เพียงปัญหาเบื้องต้นที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านอื่นๆ เช่น ขาดความมั่นใจในตัวเอง ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมไปถึงในโรงเรียนอีกด้วย

 

นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้น สามารถพบร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น โรควิตกกังวล , โรคซึมเศร้า, ภาวะการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder:LD), ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบทั้งในระยะสั้น เช่น เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาก่อนเกณฑ์ หรือในระยะยาว เช่น เด็กติดสารเสพติด หรือปัญหาอาชญากรรมในวัยรุ่น

 

เมื่อไรควรพบแพทย์ และอาการต่างจากอารมณ์ทั่วไปอย่างไร?

ตามพัฒนาการในช่วงอายุ 1–3 ปี เด็กต้องการสำรวจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมซน อยู่ไม่นิ่ง และเอาแต่ใจตัวเอง จนทำให้พ่อแม่หลายท่านเข้าใจว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เมื่อเด็กเติบโตผ่านวัย 3 ปีไปแล้ว พฤติกรรมซนจะลดลง การวินิจฉัยโรคนี้จึงจำเป็นต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่องจนเด็กมีอายุมากกว่า 3 ปี เนื่องจากอาการของโรคสมาธิสั้นนั้น เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นเด็กอาจไม่สามารถสังเกตอาการด้วยตนเอง พ่อแม่มีความจำเป็นต้องประเมินอากาเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเด็กมีอาการมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำ วัน เช่น ผลการเรียนตกลง หรือซนจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ถือว่ามีความแตกต่างจากเด็กตามวัย จำเป็นที่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการของโรคสมาธิสั้น

 

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างไร?

การวินิจฉัยโรคทำได้ไม่ยาก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต ซึ่งแพทย์จะทำการประเมินปัญหาในแต่ละด้านของเด็กเพื่อการวินิจฉัยโรค และรวมไปถึงสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เด็กอาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้น เช่น โรคทางระบบประสาทอื่นๆ, หรือความวิตกกังวล

 

ทั้งนี้การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ซีทีสแกน หรือ เอมอาร์ไอสมองแต่อย่างใด แพทย์อาจมีการประเมินพฤติกรรมที่โรงเรียนจากครูผ่านแบบสอบถาม หรือประเมินระดับสติปัญญา (IQ test, Intelligence quotient test) โดยนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาความจำเป็นในเด็กแต่ละรายไป

 

โรคสมาธิสั้นรักษาได้อย่างไร?

การรักษาโรคสมาธิสั้นประกอบด้วย การปรับพฤติกรรม และการรักษาด้วยยา

 

ก. การปรับพฤติกรรม (Behavioral modification): ในเด็กสมาธิสั้นนั้น สามารถทำได้โดยการกำหนดข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมดีให้เป็นเป้าหมายที่ชัดเจน และให้แรงจูงใจ หรือคำชมเวลาที่เด็กสามารถทำพฤติกรรมดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับพฤติกรรมต้องใช้เวลานาน และต้องทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยมีแพทย์คอยให้คำปรึกษาในแต่ละขั้นตอน

 

ข. การรักษาด้วยยา: ในปัจจุบันการรักษาด้วยยาเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากให้ผลรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย และสามารถทำควบคู่กับการปรับพฤติกรรมได้ ยารักษาโรคสมาธิสั้นในปัจจุบันมีหลากหลายชนิด ซึ่งผลในการรักษาขึ้นกับหลากหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ, ลักษณะของอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับเด็ก, หรือโรคอื่นๆที่แพทย์ตรวจพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น, แพทย์จะประเมินความจำเป็นในการใช้ยา และวางแผนติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องหลังเริ่มใช้ยา

 

ยา Methylphenidate คืออะไร?

ยา Methylphenidate เป็นยาเม็ดรับประทาน เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการรักษาโรคสมาธิสั้น เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรักษาดี ยาออกฤทธิ์เร็วและใช้ง่าย ระดับยาอยู่ภายในร่างกายประมาณ 4-6 ชั่วโมง การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดการสะสมของยาภายในร่างกายและไม่ทำให้ติดยา

 

อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้มีผลข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร, นอนไม่หลับ, และปวดศีรษะ/ปวดหัว ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องติดตามอาการเป็นระยะๆ

 

นอกจากนี้เนื่องจากยานี้ออกฤทธิ์สั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องรับประทานยาวันละ 2-3 ครั้งเพื่อควบคุมอาการได้ตลอดทั้งวัน

 

โรคสมาธิสั้นอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่หรือไม่?

ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น

  • ประมาณ 40% จะสามารถมีอาการดีขึ้นจนใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • ประมาณ 30% มีอาการคงที่
  • และประมาณ 30% จะมีอาการแย่ลง

 

ซึ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น อาจแสดงออกเป็นอาการหุนหันพลันแล่น ทำงานไม่เสร็จบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม การรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะให้ผลการรักษาที่ดี ทำให้อาการหายจนไม่จำเป็นต้องรับประทานยาได้

 

โรงเรียนควรดูแลเด็กสมาธิสั้นอย่างไร?

ปัจจุบัน โรงเรียนการศึกษาพิเศษไม่ได้ครอบคลุมการดูแลเด็กสมาธิสั้น เด็กสมาธิสั้นสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ โดยครูสามารถจัดห้องเรียนให้เหมาะสม เช่น นั่งห่างหน้าต่าง หรือให้นั่งใกล้ครู มีเพื่อนคอยช่วยเหลือเรื่องการจดการบ้าน และพยายามเตือนเวลาเด็กขาดสมาธิ

 

การจัดการศึกษาแบบเฉพาะบุคคล (Individual Education Program:IEP) มักทำในเด็กสมาธิสั้นบางรายที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง(LD)

 

อนึ่ง ทัศนคติของครู มีความสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสมาธิสั้น สามารถเรียนรู้ร่วมกับเด็กในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ และสอบถามอาการเด็กจากครูอย่างสม่ำเสมอ

 

เมื่อมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ควรทำอย่างไร? ควรดูแลครอบครัวและลูกคนอื่นในครอบครัวอย่างไร?

ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นอย่างถูกต้อง จะช่วยลดอคติในตัวเด็กสมาธิสั้น พ่อแม่ควรอธิบายกับลูกถึงความจำเป็นในการรักษาและในการรับประทานยา

 

เนื่องจากเด็กมักรู้สึกว่าตนเองไม่ปกติ ไม่ควรให้การดูแลเด็กมากเกินไปจนทำให้เด็กได้สิทธิพิเศษ เพราะจะทำให้เด็กขาดทักษะชีวิตที่จำเป็น และเกิดปัญหาระหว่างพี่น้องได้ และไม่ควรละเลยการดูแลที่สำคัญโดยเฉพาะเรื่องการเรียน เพราะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกด้อยคุณค่าตนเอง โดยเฉพาะการออกจากระบบการเรียนก่อนวัย

 

นอกจากนี้ พ่อแม่ควรอธิบายพี่น้องของเด็กในครอบครัว ในการลดตัวกระตุ้นอารมณ์ เช่น การเล่นรุนแรง หรือการล้อเลียนเกี่ยวกับโรคที่เด็กเป็นอยู่ เป็นต้น

 

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Attention_deficit_hyperactivity_disorder [2019,Dec7]
  2. วิฐารน บุญสิทธิ (2012), วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2555, โรคสมาธิสั้น: การวินิจฉัยและการรักษา