เบาจืด (Diabetes insipidus)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 17 มีนาคม 2562
- Tweet
- บทนำ
- มีกลไกการเกิดเบาจืดอย่างไร?
- เบาจืดมีกี่ประเภท?
- เบาจืดเกิดจากสาเหตุอะไร?
- เบาจืดมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยเบาจืดได้อย่างไร?
- รักษาเบาจืดอย่างไร?
- เบาจืดมีผลข้างเคียงอย่างไร? รุนแรงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันเบาจืดอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- เนื้องอกสมอง และมะเร็งสมอง (Brain tumor)
- โรคไต (Kidney disease)
- โรคต่อมไร้ท่อ โรคระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine disease)
- มะเร็ง (Cancer)
- ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
- นิ่วในไต (Kidney stone)
- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
- การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
บทนำ
เบาจืด (Diabetes insipidus) หรือเรียกย่อว่า ดีไอ (DI) คือภาวะหรือโรคที่ผู้ป่วยมีอา การปัสสาวะปริมาณสูงมากในแต่ละวัน มัก’มากกว่า 2.5 ลิตรต่อวัน’ โดยมีรายงานสูงได้ถึงวันละ 10 - 15 ลิตร (คนปกติจะปัสสาวะวันละประมาณ 1 - 2 ลิตรขึ้นกับปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ) ทั้งนี้ปัสสาวะจากโรคนี้จะเจือจางมาก ปริมาณสารต่างๆในปัสสาวะจะลดน้อยกว่าปกติมากจากที่ส่วนประกอบเกือบทั้งหมดของปัสสาวะจะเป็นน้ำ ดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้จึงมักมีอาการกระหายน้ำมาก/ภาวะขาดน้ำร่วมด้วยเสมอ
เบาจืด เป็นคนละโรคกับ เบาหวาน เพียงแต่มีชื่อพ้องกันเพราะมีความผิดปกติในปัสสาวะด้วยกันทั้งคู่ แต่เบาหวานจะมีน้ำตาลในปัสสาวะ (คนปกติจะไม่มีน้ำตาลในปัสสาวะ) แต่เบาจืด ไม่มีน้ำตาลในปัสสาวะ ส่วนใหญ่ของปัสสาวะจะเป็นน้ำซึ่งปริมาณมากจนส่งผลให้สารต่างๆที่ก่อ สี กลิ่น ในปัสสาวะเจือจางลงมากจนปัสสาวะเกือบมีลักษณะเหมือนน้ำ
เบาจืดเป็นภาวะที่พบน้อย ประมาณ 3 รายต่อประชากร 100,000 คน มักพบในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กอาจพบโรคนี้ได้บ้างโดยมักเป็นเด็กโต ทั้งนี้พบโรคนี้ได้ใกล้เคียงกันทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย
มีกลไกการเกิดเบาจืดอย่างไร?
ในภาวะปกติ การควบคุมปริมาณปัสสาวะขึ้นอยู่กับฮอร์โมนชื่อ วาโสเพรสซิน หรืออีกชื่อ คือ เอดีเอช (Vasopressin หรือ ADH/Antidiuretic hormone หรืออีกชื่อคือ Arginine vaso pressin) ซึ่งปกติเป็นฮอร์โมนสร้างจากสมองส่วนลึกที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus ) และถูกนำมาเก็บไว้ที่กลีบหลังของต่อมใต้สมอง (Posterior lobe of pituitary gland หรือ Neurohypophysis) เพื่อหลั่งออกมาควบคุมการทำงานของไต ให้ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายให้อยู่ในสมดุล ไม่ปล่อยออกมาเป็นปัสสาวะทั้งหมด
ดังนั้น เมื่อสมดุลในกระบวนการนี้เสียไป อาจโดยการสร้างฮอร์โมนเอดีเอชลดลง หรือเซลล์ไตไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเอดีเอช ไตจึงไม่สามารถดูดซึมน้ำกลับเข้าร่างกายได้หลัง จากเลือดผ่านไต ปริมาณปัสสาวะจึงเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า “เบาจืด” โดยปริ มาณปัสสาวะจะเพิ่มมากน้อยเท่าใดขึ้นกับความรุนแรงของภาวะ/โรค
เบาจืดมีกี่ประเภท?
เบาจืด แบ่งตามกลไกการเกิดได้เป็น 4 ประเภท คือ 1.ประเภทเกิดจากความผิดปกติทางสมอง, 2.ประเภทเกิดจากความผิดปกติทางไต, 3.ประเภทเกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ, และ 4.ประเภทเกิดจากการตั้งครรภ์
1. จากความผิดปกติทางสมอง (Central หรือ Neurogenic diabetes insipidus): เป็นชนิดพบบ่อยที่สุด เกิดจากพยาธิสภาพหรือโรคในสมองที่ส่งผลให้การสร้างฮอร์โมน เอดีเอช/ADH ลดน้อยลง เช่น โรคเนื้องอกและมะเร็งสมอง โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง การผ่าตัดสมอง หรือจากอุบัติเหตุของสมอง
2. จากความผิดปกติทางไต (Nephrogenic diabetes insipidus): เป็นชนิดที่พบได้น้อย โดยเกิดจากไตไม่ตอบสนองหรือตอบสนองได้น้อยต่อฮอร์โมนเอดีเอช/ADH เช่น จากพันธุกรรม หรือจากผลข้างเคียงของยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยา Phenytoin ที่ใช้รักษาอาการชัก
3. จากความผิดปกติในการกระหายน้ำ (Dipsogenic diabetes insipidus): ชนิดนี้พบได้น้อยมากๆ โดยเกิดจากความผิดปกติของสมองไฮโปธาลามัสซึ่งนอกจากสร้างฮอร์โมนเอดีเอช/ADH และฮอร์โมนอีกหลายชนิดแล้ว ยังควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์และจิตใจด้วย ซึ่งเมื่อเกิดความผิดปกติทางอารมณ์/จิตใจ ที่ก่อให้เกิดการกระหายน้ำอย่างมาก ผู้ป่วยจึงดื่มน้ำในปริมาณมหาศาล จึงส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำที่ดื่ม
4. จากการตั้งครรภ์ (Gestational diabetes insipidus): ซึ่งสาเหตุนี้พบได้น้อยมากเช่นกัน โดยเกิดได้จากในขณะตั้งครรภ์ รกจะสร้างเอนไซม์ชื่อ Vasopressinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ทำลายฮอร์โมนเอดีเอช/ADH ซึ่งหากมีการสร้างเอนไซม์นี้ในปริมาณมาก จะส่งผลให้ปริ มาณฮอร์โมนเอดีเอชลดลง ไตจึงดูดซึมน้ำกลับเข้าร่างกายน้อยลง ปัสสาวะจึงมีปริมาณสูงขึ้น ซึ่งโรคจากสาเหตุนี้จะหายได้เองภายหลังการคลอด
เบาจืดเกิดจากสาเหตุอะไร?
สาเหตุการเกิดเบาจืดเกือบทั้งหมดเป็นเบาจืดประเภทที่เกิดจากความผิดปกติทางสมอง ซึ่งในกลุ่มนี้
- ประมาณ 30%ไม่ทราบสาเหตุ
- ประมาณ 25 - 30% เกิดจากโรคเนื้องอกและมะเร็งสมอง (รวมทั้งของต่อมใต้สมอง)
- ประมาณ 20% จากการผ่าตัดสมองเพื่อรักษาโรคต่างๆ
- ประมาณ 15% จากอุบัติเหตุทางสมอง
- และประมาณ 5 - 10% เกิดจากสาเหตุอื่นๆ
ส่วนสาเหตุอื่นๆที่อาจพบได้บ้าง เช่น
- ความผิดปกติทางพันธุกรรม พบได้ทั้งเบาจืดชนิดเกิดจากความผิดปกติทางสมอง หรือความผิดปกติทางไต
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยากันชักบางชนิด ยาเคมีบำบัดบางชนิด
- โรคถุงน้ำในไต (Renal cystic disease)
- โรคไตอักเสบติดเชื้อเรื้อรัง เช่น โรคกรวยไตอักเสบเรื้อรัง
- โรคไตเรื้อรัง เช่น จากนิ่วในไต
- การขาดสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น มีแคลเซียมในเลือดสูง หรือมีโพแทส เซียมในเลือดต่ำ
- สมองอักเสบติดเชื้อ เช่น จาก วัณโรค โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคสมองอักเสบ
- จากโรคมะเร็งบางชนิดที่แพร่กระจายมาสมอง เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- จากการตั้งครรภ์ ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ ประเภทของเบาจืด
เบาจืดมีอาการอย่างไร?
อาการของเบาจืดแบ่งเป็น 2 อาการหลัก คือ อาการที่เกิดจากภาวะเบาจืดเอง, และอาการที่เกิดจากสาเหตุ
ก. อาการที่เกิดจากเบาจืด: ซึ่งเบาจืดทุกประเภทจะมีอาการเหมือนกัน โดยอาการหลักคือ ปัสสาวะปริมาณมาก บ่อยครั้ง แต่ละครั้งปริมาณมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน ร่วมกับกระหายน้ำมาก
นอกจากนั้นอาการอื่นๆที่พบได้ คือ
- อ่อนเพลีย จากการเสียเกลือแร่ไปในน้ำปัสสาวะ เพราะถึงแม้ปัสสาวะจะเจือจาง แต่ผลรวมทั้งหมดจะมีปริมาณเกลือแร่ในปัสสาวะสูง และจากขาดการพักผ่อน เพราะต้องตื่นมาปัสสาวะตลอดเวลา
- ปัสสาวะรดที่นอน จากปัสสาวะปริมาณมาก จึงกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- อาการจากภาวะขาดน้ำ เพราะเสียน้ำมากจากปัสสาวะ คือ ตาลึกโหล ผิวแห้ง ปากคอแห้ง มึนงง วิงเวียนศีรษะ อาจสับสน ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว
- อาการจากภาวะร่างกายขาดสมดุลของเกลือแร่ เช่น วิงเวียน สับสน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ
ข. อาการที่เกิดจากสาเหตุ: ซึ่งจะขึ้นกับแต่ละสาเหตุ จึงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคนตามสาเหตุ เช่น อาการจากโรคเนื้องอกและมะเร็งสมอง หรืออาการจากโรคกรวยไตอักเสบเรื้อรัง หรืออาการของโรคมะเร็งต่างๆ (เช่น โรคมะเร็งปอด) เป็นต้น
แพทย์วินิจฉัยเบาจืดได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยเบาจืดได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยและการรักษาโรคต่างๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการกินยา/ใช้ยาต่างๆ ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจเลือด เช่น
- ดูค่าน้ำตาลเพื่อแยกจากโรคเบาหวาน
- ดูค่าเกลือแร่ต่างๆ
- ดูค่าฮอร์โมน เอดีเอช/ADH
- การตรวจปัสสาวะดูค่า ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ ซึ่งจะต่ำในภาวะเบาจืด
- นอกจากนั้นคือการตรวจสืบค้นด้วยวิธีเฉพาะต่างๆเพิ่มเติมตามอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เพื่อแยกประเภทของเบาจืด ซึ่งแพทย์/พยาบาล/เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้อธิบายถึงวิธีตรวจด้วยวิธีการเหล่านี้ เช่น
- การตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะในภาวะอดน้ำ (Water deprivation test)
- การฉีดฮอร์โมนเอดีเอช (Vasopressin test)กระตุ้น เพื่อดูการตอบสนองของไต และ
- อาจมีการตรวจภาพสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอมอาร์ไอเพื่อดูรอยโรคหรือก้อนเนื้อในสมอง
รักษาเบาจืดอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคเบาจืด คือการรักษาสาเหตุ และการรักษาอาการตามประเภทของเบาจืด
ก. การรักษาสาเหตุ: จะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น
- การรักษาเนื้องอกและมะเร็งสมอง
- การรักษากรวยไตอักเสบเรื้อรัง หรือ
- การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
ข. การรักษาอาการเบาจืด คือ การรักษาตามประเภทของเบาจืด เช่น
- การให้ยาซึ่งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอดีเอช/ADH (มีทั้งยากิน ฉีด และพ่นจมูก) ในการรักษาเบาจืดสาเหตุจากความผิดปกติทางสมอง หรือที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ ที่ส่งผลให้ฮอร์โมนเอดีเอชมีปริมาณลดลง
- การให้ยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ เมื่อเบาจืดเป็นประเภทเกิดจากความผิดปกติทางไต (ยาจะมีคุณสมบัติกระตุ้นให้เซลล์ไตตอบสนองต่อฮอร์โมนเอดีเอชเพิ่มขึ้น)
- และการจำกัดน้ำดื่ม ร่วมกับการรักษาทางจิตเวชในเบาจืดประเภทที่เกิดจากการกระหายน้ำมากๆ
- การหยุดยา เปลี่ยนยา เมื่อเบาจืดเกิดจากผลข้างเคียงของยา
- หรือการรักษาภาวะเสียสมดุลของเกลือแร่ เมื่อมีสาเหตุจากสมดุลของเกลือแร่ผิดปกติ เป็นต้น
*ทั้งนี้ ในกรณีแพทย์หาสาเหตุไม่พบ การรักษาจะเป็นเพียงการรักษาตามอาการของเบาจืด
เบาจืดมีผลข้างเคียงอย่างไร? รุนแรงไหม?
ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้จากภาวะเบาจืด คือ
- ภาวะขาดน้ำ และ
- ภาวะเสียสมดุลของเกลือแร่ ดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้ออาการฯ’
ในส่วนความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของโรคเบาจืดขึ้นกับสาเหตุ เช่น
- อาการหายได้เมื่อเกิดจากการแพ้ยา หรือ
- ไม่ทำให้เสียชีวิตในผู้ป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุเพียงแต่เสียคุณภาพชีวิต
- แต่ถ้าเกิดจากเนื้องอกและมะเร็งสมอง หรือโรคมะเร็งที่แพร่กระจายมายังสมอง ความรุนแรงของโรคก็จะสูงมากขึ้น
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อมีอาการปัสสาวะมาก โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับกระหายน้ำมาก ควรพบแพทย์/ไปโรง พยาบาลเสมอเพื่อแพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรักษาสาเหตุแต่เนิ่นๆซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น โอกาสควบคุมรักษาโรคได้จึงสูงขึ้น
เมื่อทราบว่าเป็นเบาจืดแล้ว การดูแลตนเองที่บ้านและการพบแพทย์ คือ
- ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่ง ให้ถูกต้อง ครบถ้วน
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยดื่มน้ำให้น้อยลง หรืองดดื่มน้ำก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมง เพื่อลดการตื่นมาปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้พอเพียง โดยดื่มในช่วงเช้าและกลางวันมากกว่าช่วงเย็นและช่วงกลางคืน
- กินผักผลไม้มากๆเพื่อให้ได้เกลือแร่ที่เพียงพอ
- มีน้ำสะอาดติดตัวเสมอ
- มีเอกสารระบุว่า เป็นใคร เป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาอยู่ที่ไหนติดตัวเสมอ เพื่อภาวะฉุกเฉินจากภาวะขาดน้ำ จะได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ และ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- มีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น ตาพร่า หรือเห็นภาพซ้อน
- อาการต่างๆเลวลง เช่น ปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น วิงเวียนศีรษะมาก ขึ้นผื่น
- กังวลในอาการ
ป้องกันเบาจืดอย่างไร?
เมื่อดูจากสาเหตุ เบาจืดค่อนข้างป้องกันได้ยาก อย่างไรก็ตาม การป้องกันคือ การป้อง กันสาเหตุดังกล่าวแล้วใน’หัวข้อสาเหตุฯ’ที่ป้องกันได้ ที่สำคัญและยังช่วยให้มีสุขภาพกาย สุข ภาพจิตที่ดี และสามารถช่วยป้องกันโรคติดเชื้ออื่นๆได้อีกด้วย คือ
- การป้องกันการติดเชื้อในสมองและในไตด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- นอกจากนั้นคือ การป้องกันการเกิดนิ่วในไต (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง นิ่วในไต)
บรรณานุกรม
- Loh, J., and Verbalis, J. (2007). Diabetes insipidus as a complication after pituitary surgery. Nature Clinical Practice Endocrinology&Metabolism. 3, 489-494.
- Maghnie, M. et al. (2000). Central diabetes insipidus in children and young adults. N Engl J Med. 343, 998-1007
- http://www.gps.org/diabetes_insipidus.htm [2019,Feb23]
- https://emedicine.medscape.com/article/117648-overview#showall [2019,Feb23]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Nephrogenic_diabetes_insipidus [2019,Feb23]