ฮีสโตพลาสโมสิส ของฝากจากถ้ำ (ตอนที่ 4 และตอนจบ)

ฮีสโตพลาสโมสิส-4

      

      โดยผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรง ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี และผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีระบบภูมิต้านทานอ่อนแอ หรือผู้ที่

  • ติดเชื้อเฮชไอวี หรือ เชื้อเอดส์
  • ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เช่น ยา Prednisone
  • ใช้ยายับยั้งทีเอ็นเอฟ (Tumor necrosis factor inhibitors) ที่ใช้ในการควบคุมอาการโรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
  • ใช้ยาที่ป้องกันการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่าย

      ฮีสโตพลาสโมสิสอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ (แม้ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง) เช่น

  • กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (Acute respiratory distress syndrome = ARDS) เพราะฮีสโตพลาสโมสิสสามารถทำลายปอดและทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โดยมีการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เต็มที่
  • ทำลายต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนสั่งให้อวัยวะและเนื้อเยื่อในร่างกายทำงาน
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)

      ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อนี้ และเป็นการยากที่จะป้องกันเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคฮีสโตพลาสโมสิส โดยเฉพาะในบริเวณที่เชื้อแพร่กระจายอยู่ แต่เราอาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการ

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้ต้องสัมผัสกับเชื้อรา เช่น การสำรวจถ้ำ การเลี้ยงนก การเลี้ยงไก่
  • พ่นฉีดผิวบริเวณที่มีเชื้อราด้วยน้ำ ก่อนการขุดดินหรือการทำงานในบริเวณนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราฟุ้งกระจายในอากาศ
  • ใส่หน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจ (Respirator mask)

      สำหรับการวินิจฉัยโรคฮีสโตพลาสโมสิสค่อนข้างซับซ้อน ขึ้นกับบริเวณที่เป็น ซึ่งแพทย์อาจทำได้ด้วยการตรวจตัวอย่างของ

  • สารคัดหลั่งจากปอด (Lung secretions)
  • เลือดหรือปัสสาวะ
  • การตัดชิ้นเนื้อที่ปอดไปตรวจ
  • การตรวจไขกระดูก (Bone marrow)

      นอกจากนี้ยังมีการเอ็กซเรย์หรือทำซีทีสแกนที่ปอด

      ส่วนการรักษา ในกรณีที่เป็นชนิดอ่อนอาจไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะอาการอาจหายได้เอง แต่ถ้าเป็นกรณีที่รุนแรงจำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านเชื้อราอย่างน้อย 1 ชนิด เช่น ยา Itraconazole โดยที่ได้ผลมากที่สุดคือ การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenously) ซึ่งการรักษาอาจใช้เวลา 3-12เดือน ขึ้นอยู่กับอาการว่ารุนแรงแค่ไหน

แหล่งข้อมูล:

  1. Histoplasmosis. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/histoplasmosis/symptoms-causes/syc-20373495 [2018, July 21].
  2. Histoplasmosis.https://www.cdc.gov/fungal/diseases/histoplasmosis/index.html [2018, July 21].
  3. Histoplasmosis.https://www.medicinenet.com/histoplasmosis_facts/article.htm#what_is_histoplasmosis [2018, July 21].