หิด หรือ Scabies mite เป็น ไร (Mite) ชนิดหนึ่งที่เป็นปรสิต (Parasite) ต้องอาศัยบนร่างกายคน โดยดำรงชีวิตอยู่บนผิวหนังของคน และกินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร ตัวหิดทำให้เกิดโรคหิด เรียกว่าโรค Scabies โดยผู้ป่วยจะมีอาการหลักสำคัญ คือ อาการคันและมีผื่นตามผิวหนัง โรคหิดติดต่อได้โดยการอาศัยอยู่ใกล้ชิดและสัมผัสผิวหนังของผู้ที่เป็นหิด ซึ่งรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ แต่มียาสำหรับรักษาให้หายได้
ลักษณะอาการของโรคหิดที่ถูกบันทึกไว้มีมานานกว่า 2,500 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2230 กว่าที่จะได้ถูกค้นพบว่า มีตัวหิดเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค โดยผู้ค้นพบคือ Gio van Cosimo Bonomo ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอิตาเลียน
โรคหิดพบได้ทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ และเป็นโรคติดเชื้อปรสิตที่พบได้บ่อยมากโดยพบผู้ป่วยจากทั่วโลกประมาณ 300 ล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่จะพบในประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา อย่างเช่น ในบางหมู่บ้านของประเทศอินเดียพบคนที่เป็นหิดเกือบ 100% มักพบโรคหิดในหน้าหนาวมากกว่าในหน้าร้อน เนื่องจากหากอากาศเย็น หิดจะมีชีวิตอยู่ได้ยาว นานกว่า
โรคหิด เกิดจากตัวหิด หรือ Scabies mite ซึ่งมีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarcoptes scabiei var hominis วงจรชีวิตของตัวหิดคือ เมื่อเราได้รับหิดตัวเมียที่มีไข่อยู่ในตัวมาจากคนอื่นแล้ว หิดก็จะคลานหาที่เหมาะสมและขุดเจาะผิวหนังจนเป็นโพรง (Burrow) แล้ววาง ไข่ในโพรงนี้วันละ 2-3 ฟองต่อวัน หิดตัวเมียนี้จะขุดผิวหนังของเราต่อไปเรื่อยๆ วันละ 2-3 มิลลิเมตร (มม.) กลายเป็นโพรงหยึกหยักคล้ายงูเลื้อย (Serpentine burrow) โดยหิดจะขุดเฉพาะผิวหนังชั้นบนสุดที่เรียกว่า Stratum corneum เท่านั้น จะไม่ขุดผิวหนังชั้นที่ลึกไปกว่านี้ หิดตัวเมียจะวางไข่ไปได้เรื่อยๆตลอดอายุของมันซึ่งยาวนานประมาณ 1-2 เดือน ไข่ของหิดมีขนาด 0.1-0.15 มม. และจะใช้เวลาในการฟักตัว 3-4 วัน เมื่อตัวอ่อนฟักออกมาแล้ว ก็จะคลานออกจากโพรงมาอยู่บนผิวหนัง และหาที่เหมาะสมใหม่ ขุดเป็นรูเล็กๆ สั้นๆ บนผิวหนังชั้นบนสุด เรียกว่า Molting pouch รูนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งแตกต่างจากโพรง หรือ Burrow ที่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
ตัวอ่อนของหิดที่เกิดมาจะมี 3 ขา เมื่อมีอายุได้ 3-4 วัน ตัวอ่อนจะลอกคราบ และจะกลายเป็นมี 4 ขา ต่อจากนั้นจะลอกคราบอีก 2 ครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นหิดตัวเต็มวัย ซึ่งจะมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย หิดตัวผู้มีขนาด 0.25-0.35 มม. ส่วนหิดตัวเมียมีขนาด 0.30-0.45 มม. หิดตัวผู้จะคลานออกจากรู และคลานเข้าไปหารูที่ตัวเมียอยู่ เมื่อทำการผสมพันธุ์กันเสร็จแล้วตัวผู้ก็จะตาย ตัวเมียจะออกจากรูเดิม เดินหาบริเวณอื่นของผิวหนังที่เหมาะสม แล้วเจาะโพรงเตรียมพร้อมวางไข่ได้ตลอดชีวิตที่เหลือของมัน ซึ่งหากหิดตัวเมียนี้ติดต่อไปยังผู้อื่น ก็เป็นการเริ่มต้นวงจรชีวิตของมันใหม่ต่อไป
ตัวหิดไม่สามารถกระโดดได้ ซึ่งต่างจากหมัด หากหิดอยู่นอกร่างกายคน จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 วัน แต่ถ้าอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส มันจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
โรคหิดมี 2 ประเภท ได้แก่
ผู้ที่ติดหิดครั้งแรก จะเริ่มแสดงอาการเมื่อได้รับหิดมาแล้วเป็นเวลา 2-6 สัปดาห์ (ระยะฟักตัวของโรค) แต่ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่มีอาการนี้ สามารถที่จะแพร่ตัวหิดให้ผู้อื่นได้ อาการที่เกิดจากหิด เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายที่มีต่อทั้งตัวหิด ไข่หิด และขี้ของหิด (Scybala) ปฏิกิริยานี้มีเรียกว่า Delayed-type IV hypersensitivity โดยร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆออกมา และมีการหลั่งสารเคมีต่างๆ เพื่อพยายามที่จะกำจัดหิด แต่สารเคมีต่างๆเหล่านี้นี่เอง กลับทำให้เกิดอาการขึ้นมา สำหรับผู้ที่ติดหิดซ้ำในครั้งหลังๆ อาการจะเกิดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายได้มีการจดจำปฏิกิริยาที่มีต่อตัวหิดไว้แล้ว
ผู้ป่วยบางคนอาจมีตุ่มนูนแข็งสีแดงขนาดใหญ่มากกว่า 0.5 เซนติเมตร (ซม.) โดยอาจมี 2-3 ตุ่มหรือหลายๆตุ่มขึ้นที่ผิวหนังโดยเฉพาะที่รักแร้และขาหนีบ เรียกว่า Nodular scabies ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อองค์ประกอบสารต่างๆของหิด แต่ไปปรากฏตรงผิวหนังตำแหน่งอื่นที่ไม่มีตัวหิดอยู่
(Classic scabies) อาการหลักคือ อาการคัน ซึ่งจะคันมากในช่วงกลางคืน โพรงของหิดหากตรวจพบจะเห็นเป็นสันนูนบนผิวหนัง ที่มีลักษณะหยิกหยักคดเคี้ยวไปมา ความยาวประมาณ 2-3 มม. สีขาว-เทา ตรงจุดเริ่มต้นของโพรงเหล่านี้ จะมีตุ่มนูนแดงเล็กๆ หรือตุ่มน้ำใสเล็กๆ ซึ่งเป็นจุดที่หิดขุดผิวหนังเข้าไปอยู่นั่นเอง และสิ่งที่จะตรวจพบร่วมไปด้วยเสมอ คือรอยข่วนเกาจากอาการคัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์นั่นเอง ตำแหน่งของร่างกายที่หิดมักจะอยู่ คือ ตามง่ามนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก รอบสะดือ ท้อง เอว ก้น องคชาติ (อวัยวะเพศชาย) หัวนม จะไม่พบหิดที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใบหน้า ศีรษะ และลำคอ เพราะชั้นผิวหนังบริเวณนี้หนาและมีไขมันมาก หิดจึงขุดผิวหนังได้ยาก ยกเว้นในเด็กทารกและเด็กอายุน้อยๆที่จะพบบริเวณนี้ได้ ในคนคนหนึ่งจะมีหิดอาศัยอยู่ประมาณ 10-15 ตัว บางครั้งอาจสามารถมองเห็นตัวหิดซึ่งจะเห็นเป็นจุดกลมๆ ขาวๆ ได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหิดต้นแบบ วินิจฉัยจากอาการคัน และการตรวจร่างกายพบโพรงของหิด ผื่นที่เป็นตุ่มนูนแดงหรือตุ่มน้ำใส รวมทั้งตำแหน่งที่เป็น
ส่วนผู้ป่วยที่เป็น โรคหิดนอร์เวย์ อาศัยการตรวจร่างกายพบโพรงของหิด และลักษณะของผิวหนังดังกล่าว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะนำมาช่วยยืนยันการวินิจฉัยในผู้ป่วยทั้ง 2 แบบ โดยเทคนิควิธีคือ หยดน้ำมันพืชลงบนโพรงของหิด แล้วใช้ใบมีดสะอาดขูดผิวหนังบริเวณนั้น โดยทำอย่างน้อย 15 ตำแหน่งโพรงของหิด นำผิวหนังที่ขูดได้ไปวางบนสไลด์ (Slide คือ แผ่นแก้วบางๆที่ใช้ในการตรวจต่างๆทางห้องปฏิบัติการ) ไม่ต้องหยอดน้ำยาใดๆ และไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็จะพบตัวหิด หรือไข่หิด หากหาโพรงของหิดไม่เจอ อาจใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาชื่อ Tetracycline ทาบนผิวหนังบริเวณที่สงสัย แล้วนำไปส่องตรวจด้วยแสงอุลตราไวโอเลตในช่วงคลื่นความยาวสูง (Wood’s lamp) ก็จะเห็นโพรงที่เกิดจากหิดได้ง่ายขึ้น หรือใช้กล้องส่องขยายที่เรียกว่า Videodermatoscopy ช่วยตรวจหา ในบางกรณีที่มีปัญหาในการวินิจฉัย อาจต้องตัดชิ้นเนื้อผิวหนังเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
ผู้ที่เป็นหิดนานๆ แบคทีเรียบางชนิดที่อยู่บนผิวหนังจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นร่วมด้วย ได้แก่ แบคทีเรียชนิด Group A streptococci และชนิด Staphylococcus aureus ประกอบกับการข่วนเกา ก็จะทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนขึ้นมา กลายเป็นผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ เกิดฝีหนองได้ แต่ที่สำคัญคือ เมื่อเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อเกิดการอักเสบแล้ว มีโอกาสทำให้เกิดโรคไตอักเสบที่เรียก ว่า Poststreptococcal glomerulonephritis ขึ้นมาได้ โรคไตชนิดนี้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตเรื้อรังในอนาคตได้ โรคอื่นๆที่แบคทีเรียมีโอกาสทำให้เกิด เช่น โรคกรวยไตอักเสบ โรคปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด) ซึ่งหากได้รับการรักษาล่าช้าก็มีโอกาสเสียชีวิตได้
หลักในการรักษาโรคหิด คือ ต้องรักษาผู้ที่เป็นหิดและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดทุกคน (แม้ว่าจะไม่มีอาการ) ไปพร้อมๆกัน ร่วมกับการควบคุมกำจัดหิดที่อาจหลงเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการแพร่สู่ผู้อื่นและการติดหิดซ้ำ
การรักษาหิดแบ่งเป็นการฆ่าตัวหิด การบรรเทาอาการคัน และการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
สำหรับโรคหิดชนิดนอร์เวย์ การรักษาจะใช้ยาแบบกินเป็นหลัก เช่น Ivermectin โดยอาจใช้ยาแบบทารักษาร่วมกันไปด้วย ส่วนใหญ่จะต้องกินยาหลายครั้ง
อนึ่ง การใช้ยาทุกชนิดควรได้รับคำแนะนำจาก แพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร ก่อนเสมอ อย่าซื้อยาใช้เองโดยไม่ปรึกษา แพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร
การป้องกันการแพร่กระจายของหิด คือต้องนำผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน คู่นอนของตนเอง มารักษาไปด้วยพร้อมๆกัน และการกำจัดหิดที่อาจหลงเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้กลับเป็นหิดซ้ำ ได้แก่
ผู้ที่เป็นหิดจะต้องแยกตนเอง ไม่ให้ไปสัมผัสกับผู้อื่นเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับยารักษา และควรไปพบแพทย์ตามนัดอีกครั้งเพื่อประเมินการรักษา
ผู้ที่มีอาการคันตามผิวหนัง โดยเฉพาะตามง่ามนิ้วมือ โดยที่อาจจะมองเห็นโพรงและผื่นร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม ควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวมถึงผู้ที่มีอาการคันตามที่อื่นๆของร่างกาย และได้ลองใช้ยาทาหรือยากินแก้คันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เช่นกัน ทั้งนี้การรักษาหิดควรทำโดยแพทย์เสมอ เนื่องจากหลังการรักษาไปแล้ว แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาประเมินซ้ำอีกครั้ง เพราะยาที่ใช้ไปนั้นอาจไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยไปติดหิดซ้ำมาอีก
หิดของสัตว์ เป็นคนละชนิดกับที่พบในคน ซึ่งพบได้ในสัตว์หลายชนิดทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า บางครั้งการสัมผัสกับสัตว์ ทำให้ติดหิดของสัตว์มาได้ และทำให้เกิดผื่นที่เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มน้ำใส และมีอาการคัน ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายที่มีต่อหิดของสัตว์นั้นๆ แต่หิดของสัตว์จะไม่สามารถขุดโพรงและไม่สามารถวางไข่ขยายพันธุ์ในคนต่อไปได้
นอกจากนี้คนที่เคยเป็นหิดมาแล้ว หากไปสัมผัสกับตัวไรชนิดที่ไม่ได้เป็นปรสิตของคนหรือสัตว์ซึ่งอยู่อาศัยตามบ้านเรือน อาจเกิดอาการคัน และเกิดผื่นที่เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายที่มีต่อตัวไรที่อยู่ในบ้าน ซึ่งมีสารประกอบบางอย่างที่เหมือนตัวหิด เรียกว่า เป็นปฏิกิริยาที่ไขว้ข้ามต่อกัน (Cross reactivity)
ผู้ป่วยบางคน แม้จะรักษาหิดจนหายแล้ว แต่ยังมีอาการคันมากตามร่างกาย และคิดว่าเห็นตัวหิด หรือตนเองกำลังเป็นหิดอยู่ตลอดเวลา เรียกผู้ป่วยเหล่านี้ว่าเป็น อาการกลัวตัว ไร (รวมทั้งหิด) เล็น เห็บ จนเกินเหตุ (Acarophobia) ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่ผิดปกติอย่างหนึ่ง ต้องพบจิตแพทย์รักษา แต่ทั้งนี้แพทย์ผู้รักษาหิดต้องพิสูจน์แน่นอนแล้วว่าผู้ป่วยไม่มีหิดอยู่แล้วจริงๆ
1. Parasites - Scabies. http://www.cdc.gov/parasites/scabies/ [2012, Jan 3].
2. Scabies in Emergency Medicine. http://emedicine.medscape.com/article/785873-overview [2012, Jan3].