สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: กลไกของจอตาหลุดลอก
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 18 กันยายน 2557
- Tweet
ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะจอตาหลุดลอกชนิดที่เรียกว่า rhegmatogenous retinal detachment (RRD) ซึ่งหมายถึงชนิดที่มีจอตาฉีกขาดเท่านั้น
คำว่า rhegma เป็นภาษากรีก แปลว่า ฉีกขาด ภาวะนี้จึงหมายถึงจอตาลอกชนิดที่มีจอตาฉีกขาดเท่านั้น เกือบทั้งหมดของจอตาลอกชนิดนี้ตรวจพบมีจอตาฉีกขาด เป็นที่น่าสงสัยว่ามีคนรายงานพบจอตาฉีกขาดได้ถึงร้อยละ 8 ของคนปกติ แต่มีเพียง 2 คน ใน 1000 คน ที่มีจอตาฉีกขาดนี้มีจอตาหลุดลอก จึงน่าจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้จอตาหลุดลอก นอกเหนือจากการมีจอตาฉีกขาด หรือมีคนจำนวนไม่มากนักที่มีจอตาฉีกขาดแล้วจะมีจอตาหลุดลอก
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจถึงกายภาพของจอตาที่เป็นเนื้อเยื่อบางๆ บุอยู่ภายในลูกตาถือเป็นส่วนประสาทรับรู้การเห็นนั้นแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนนอก (outer retina) ได้แก่เซลล์ที่เรียก retinal pigment epithelium กับ ส่วนในหรือ inner retina ที่เรียกกันว่า sensory retina เป็นส่วนของระบบประสาทที่เกี่ยวกับการเห็นตัวจริง เวลาที่จอตาหลุดลอกนั้น ชั้น sensory retina หลุดลอกจากชั้นนอก และในคนทั่วไปมีโอกาสหลุดลอกน้อยด้วยกลไกที่มีการยึดแน่นด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง
- Vitreous ซึ่งเป็นน้ำวุ้นหนืดๆ อยู่เต็มลูกตาจะไปทาบกับผิวจอตาทั้งหมดทำให้จอตาไม่หลุดลอก
- เซลล์ของจอตาชั้นนอก คือ retinal pigment epithelium (RPE) จะยึดกับเซลล์ในชั้น sensory retina คือ เซลล์ที่รับรู้การเห็น (photoreceptor) ไว้ แม้จะยึดด้วยแรงไม่มากนัก แต่ด้วยความสามารถในการดูดซึมสารต่างๆ ของ RPE โดยเฉพาะหากมีน้ำแทรกอยู่ตัว RPE จะดูดน้ำนี้เข้าตัวนั้นและถ่ายไปยังชั้น choroid ข้างใต้ต่อไป เมื่อน้ำไม่มากและถูกดูดออกด้วย RPE จอตาก็จะไม่หลุดลอก
- ความดันตา ในคนปกติความดันตาจะอยู่ระหว่าง 10 – 18 มม.ปรอท ส่วนมากจะสูงกว่า 10 มม. ปรอท ซึ่งความดันนี้จะกระจายอย่างสม่ำเสมอไปยังทุกจุดของผิวจอตาจะกดจอตาให้ติดแน่นกับ RPE แนบสนิทตอลดเวลา
ด้วยองค์ประกอบทั้ง 3 ข้างต้น คนส่วนใหญ่จึงไม่มีจอตาหลุดออกมา แล้วผู้ที่มีจอตาหลุดล่ะ เป็นเพราะมีปัจจัยเสี่ยงอะไรจึงทำให้เกิด แต่เดิมภาวะนี้เรียกกันว่า idiopathic retinal detachment คือจอตาหลุดเองโดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งคุณหมอ Schepens เปลี่ยนมาเรียกว่า RRD เพราะเมื่อพบว่าหากอุดรูรั่วที่จอตาได้ จอตาจะกลับมาติดเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยความสังเกตและการศึกษาพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่พบในผู้ป่วย RRD ดังนี้
- จอตา พบมีการเสื่อมลงตามอายุ แต่บางคนความเสื่อมนี้นำมาซึ่งจอตาฉีกขาด ได้แก่ ภาวะ cystoid degeneration , lattice degeneration และอื่นๆ นำมาซึ่งจอตาฉีกรูปเกือกม้า (horse shoe tear) มี retinal dialysis , giant retina tear เป็นต้น
- มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำวุ้นตา โดยที่น้ำวุ้นจากลักษณะหนืดๆ คล้ายไข่ขาว เมื่อแรกเกิด พออายุมากขึ้น น้ำวุ้นบริเวณกลางเสื่อมสภาพกลายเป็นน้ำใสเป็นช่องๆ นานเข้าช่องเหล่านี้รวมกันใหญ่ขึ้นและกระจายออกไปข้างๆ ทำให้ posterior hyaloid membrane (ส่วนนอกของน้ำวุ้น) ทะลุเป็นรูที่เรียกกันว่า posterior vitreous detach (PVD) เมื่อตาเรากลอกไปมาทำให้น้ำ vitreous แกว่งไปมา เข้าไปอยู่ข้างใต้ หากไปตรงกับจอตาที่มีรอยฉีกขาด น้ำวุ้นนี้ก็จะแทรกเข้าไปตามรูที่ขาดไปอยู่ใต้จอตาเกิด RRD
- การเปลี่ยนแปลงที่ RPE หรือร่วมกับชั้น choroid (อยู่ใต้ RPE) มักจะมีการเสื่อมตามความเสื่อมของจอตา (ในข้อ 1 ) ทำให้คุณสมบัติในการยึดจอตาหรือดูดซับน้ำเสียไป
อย่างไรก็ตาม การเกิด RRD จะต้องมีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่
- มีจอตาฉีกขาด
- น้ำวุ้นเสื่อม กลายเป็นน้ำ
- มีแรงดึง (vitreous traction) ที่พยายามเซาะขอบจอตาที่ฉีกขาดให้เผยอหลุดจาก RPE ทำให้น้ำวุ้นที่ใส่เข้าไปแทรกและกระพือให้จอตาหลุดมากขึ้นๆ สำหรับกรณีของ giant retina tear อาจไม่ต้องมีแรงเซาะนี้ แต่จอตาขาดเป็นวงกว้างอาจม้วนตัวลงมา ทำให้หลุดจากที่เดิมมากขึ้น