สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: กระดูกเบ้าตาภายในแตก (Blow out or internal fracture)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 4 กันยายน 2557
- Tweet
เบ้าตา เป็นโครงเกิดจากกระดูก 7 ชิ้น รวมตัวกันเป็นรูปกรวย ปากกรวยโผล่มาด้านหน้า แล้วสอบเล็กลงไปด้านหลัง จึงมีรูปเป็นโพรงให้เส้นประสาทตาทะลุผ่านไปยังสมอง เบ้าตาจึงเป็นโพรงที่เป็นที่อยู่ของลูกตา (eye ball) กล้ามเนื้อกลอกตา ไขมัน หลอดเลือดและเส้นประสาทต่างๆ
เบ้าตาก็เหมือนกระดูกส่วนอื่นของร่างกาย แม้จะแข็ง คงทน แต่ก็อาจแตกหักด้วยอุบัติเหตุกระแทกอย่างแรง อาจจะเป็นการแตกลามต่อจากขอบของเบ้าตาไปทางพื้นของเบ้าตา หรือแตกที่พื้นเบ้าตาโดยไม่มีการแตกของขอบเบ้าตาที่เรียกกันว่า internal orbital fracture หรือ blow out fracture ซึ่งจะกล่าวละเอียดในที่นี้
สาเหตุส่วนมากเกิดจากแรงกระแทกที่เบ้าตา ด้วยวัตถุที่ใหญ่กว่าขอบเบ้าตา (ขอบเบ้าตามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.5 ซม.) เช่น ลูกบอลล์ ลูกเทนนิส กำปั้นจากการถูกชก เป็นต้น ทำให้เกิดแรงอัดภายในโพรงเบ้าตา ผนังเบ้าตาถูกดันจนแตกออก (เป็นที่มาของชื่อ blow out) มักจะแตกที่พื้นของเบ้าตาหรือที่ผนังด้านในของเบ้าตาที่เป็นกระดูกที่บางกว่าบริเวณอื่น โดยที่ขอบหน้าไม่มีการแตกหัก ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในเบ้าตา ถูกดันออกไปตามรอยแตก ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
- หนังตาบวม เขียว ช้ำ จากมีเลือดออกบริเวณนั้น เป็นลักษณะอันแรกที่น่าจะนึกถึงว่า ผู้ป่วยอาจมีภาวะนี้เกิดขึ้น
- มีปัญหาของการกลอกตาในแนวตั้ง คือ ชั้นบนหรือลงล่างได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพเป็น 2 ภาพ ในแนวตั้ง (vertical diplopia) ร่วมกับเจ็บเวลากลอกตาในแนวตั้ง จากการที่กล้ามเนื้อที่ใช้กลอกตาชื่อ inferior rectus ถูกผลักเข้าไปในร่องกระดูกที่แตก จึงทำงานไม่ได้เต็มที่ทำให้กลอกตาในแนวดิ่ง ติดขัด หากแรงกระแทกรุนแรง เกิดเลือดออกมากในเบ้าตา เนื้อเยื่อในเบ้าตาบวมช้ำ อาจทำให้ผู้ป่วยกลอกตาไม่ได้ทุกทิศทางเช่นกัน
- ลูกตายุบไปข้างหลัง (enophthalmos) เนื่องจากเนื้อเยื่อต่างๆในเบ้าตา หลังลูกตา ถูกดันออกจากเบ้าตาผ่านบริเวณที่แตก ลูกตาจึงถูกร่นไปด้านหลัง ทำให้ลูกตายุบลงไปด้านหลัง
- มีอาการชาบริเวณใบหน้ารอบๆดวงตา โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม
- มีลมหรืออากาศแทรกอยู่ใต้หนังตา เวลาคลำหรือจับรู้สึกได้ว่ามีอากาศอยู่ (emphysema) เนื่องจากกระดูกที่แตกลึกเข้าไปถึงไซนัส/โพรงอากาศด้านข้างของจมูก ซึ่งมีอากาศอยู่ ทำให้อากาศรั่วมาอยู่ใต้ผิวหนัง
- อาจมีสายตามัวลง จากมีรอยช้ำของเส้นประสาทตาได้
ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้ หลังจากได้รับอุบัติเหตุ แพทย์จะต้องทำการตรวจดูว่ามีอาการดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับทดสอบภาวะ diplopia ตรวจดูว่า มีกล้ามเนื้อ inferior rectus ติดอยู่บริเวณกระดูกที่แตกหรือไม่ ด้วยการทำ CT Scan(เอกซเรย์คอมพิวเตอร์)ภาพเบ้าตา เพื่อดูว่ามีรอยกระดูกแตกขนาดไหน
แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีรอยแตกไม่มาก ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ซ่อมแซม เพราะหายได้เอง อย่างไรก็ตามควรจะเฝ้าสังเกตในเวลา 7 – 10 วัน ให้อาการบวมยุบลง (อาจให้ยาลดบวมร่วมด้วย) แล้วประเมินผลใหม่ว่า จะต้องแก้ไข ด้วยวิธีผ่าตัดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอาการที่เป็น โดยมีแนวทางการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ดังนี้
- ผู้ป่วยยังมีอาการเห็นภาพซ้อน เวลามองตรง ภายใน 30 องศา ในแนวตั้ง หลัง 7-10 วันไปแล้ว ร่วมกับผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ยืนยันมีรอยแตกของกระดูกชัดเจน
- ลูกตายุบลงไปมากกว่า 2 มม. ซึ่งแลดูไม่สวยงาม ร่วมกับผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ยืนยันว่ามีกระดูกแตก ทั้งนี้โดยทั่วไป ถ้าหลังอุบัติเหตุประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกตายังยุบมากกว่า 2 มม. บ่งถึงรอยแตกที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งถ้าทิ้งไว้ลูกตาอาจยุบลงไปได้อีก
- มีรอยแตกของพื้นเบ้าตา ขนาดยาวกว่าครึ่งของพื้นเบ้าตา โดยเฉพาะถ้ามีการแตกของผนังเบ้าตาด้านใน/ด้านข้างจมูก (medial wall) เห็นจากเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ รอยแตกขนาดนี้ มักทำให้เนื้อเยื่อยุบเข้าไปมาก ทำให้ลูกตายุบลงไปมาก
โดยสรุป หากได้รับอุบัติเหตุกระแทกเบ้าตา เพิ่มแรงอัดเข้าเบ้าตา มีรอยฟกช้ำรอบๆตา ร่วมกับการติดขัดหรือกลอกตาในแนวดิ่งไม่ได้ ควรปรึกษาหมอตา/จักษุแพทย์ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง