สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน 61: การเห็นภาพเดียวด้วยตาสองข้าง

เป็นความสามารถของตาคนเราที่มี 2 ข้าง (Binocular) สามารถมองวัตถุอันหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเห็นเป็นวัตถุอันเดียว เป็นความสามารถในการมองเห็นของตาคนเราที่ต้องอาศัย

1. มีสายตาที่ดีในตาทั้ง 2 ข้าง

2. ความสามารถในการรวมภาพ (fusion) ที่เกิดจากตา 2 ข้าง ที่อาจเห็นต่างกันได้เล็กน้อยให้รวมกันได้ถือเป็น sensory fusion

3. การเคลื่อนไปด้วยกันในทุกทิศทางของตา 2 ข้าง เช่น ตาขวามองไปทางขวา ตาซ้ายจะต้องมองไปทางขวาด้วย ถือเป็น motor fusion เพื่อให้เห็นเป็นภาพเดียว

ขบวนการของ 2 และ 3 เป็นการทำงานของสมองที่เรียกว่า retino cortical function โดยที่ sensory fusion ในข้อ 2 นั้นต้องประกอบด้วย

1.ภาพต้องตกที่จอตาที่สอดคล้องกัน เรียกว่า corresponding retinal area

2.ขนาดของภาพต้องเท่ากัน มีความสว่างหรือความคมของภาพเท่ากัน

สำหรับ motor fusion ในข้อ 3 การทำงานของกล้ามเนื้อตาที่ได้สัญญาณจากสมองให้ไปด้วยกันอาจมีความแตกต่างกันระหว่างตา 2 ข้างได้เล็กน้อย (มี disparity) อันจะนำมาซึ่งการเห็นภาพเป็น 3 มิติ

Grading ของ Binocular Single Vision

ระดับ 1 เรียกกันว่า Simultaneous perception (SP) หมายถึงตาทั้ง 2 ข้าง ต่างคนต่างรับรู้ในภาพที่เห็น

ระดับ 2 Fusion (การรวมภาพกันจากตาทั้ง 2 ข้าง) เป็นระดับที่ดีขึ้นมาจากระดับ 1 โดยที่ภาพจากตาทั้ง 2 ข้าง มีการนำมารวมกันได้ โดยมี amplitude ของความสามารถในการรวมกันในคนปกติ ในแต่ละทิศทางของการมอง เช่น

2.1 ในแนวนอน หากตา 2 ข้าง มองเข้าหากัน (convergence) วัดที่ระยะ 6 เมตร และ 25 ซ.ม. จะเห็นได้ 14 - 38 ปริซึม ไดออปเตอร์ และถ้าตามองแยกกัน (divergence) วัดที่ระยะ 6 เมตรและ 25 ซ.ม. จะทำได้ 6 -16 ปริซึมไดออปเตอร์

2.2 ในแนวตั้ง ทั้งขึ้นบน (supraversion) หรือลงล่าง (infraversion) วัดที่ระยะ 6 เมตร และ 25 ซ.ม. ทำได้ประมาณ 3 ปริซึมไดออปเตอร์

2.3 ในการหมุนลูกตา ทั้งหมุนเข้าหมุนออก ได้แก่ 2-3 ปริซึมไดออปเตอร์

ระดับ 3 Stereopsis เป็นระดับความสามารถสูงสุดของตาคนเรา ซึ่งต้องมีสายตาดีทั้ง 2 ข้าง ไม่มีภาวะตาเข การกระตุ้นจอตาบริเวณต่างกันเล็กน้อย (disparity) จะนำมาซึ่งการเห็นภาพ ได้ 3 มิติ มีความลึกเกิดขึ้น นอกเหนือจากแนวนอนและแนวตั้ง

อย่างไรก็ตาม การเห็น stereopsis (ใช้ตา 2 ข้าง) แตกต่างจากการเห็นความลึก (depth perception) ที่ใช้ตาเดียว การเห็นความลึกชนิดใช้ตาเดียว (monocular clue) นั้นอาศัยวัตถุเหลื่อมกับอาศัยขนาดของวัตถุ (ใกล้ใหญ่กว่าไกล) ความสว่างของวัตถุ (ใกล้สว่างกว่าไกล) เงาที่ทอดวัตถุไกลและใกล้ต่างกัน ตลอดจน parallax (การเห็นวัตถุในที่ต่างกัน) ส่วน stereopsis นั้นต้องใช้ตา 2 ข้าง ที่จอตาที่ถูกกระตุ้น มีการเหลื่อมกันเล็กน้อย ทำให้ภาพจากตา 2 ข้าง เหลื่อมกันจึงเกิดภาพ 3 มิติ สำหรับ stereopsis นั้นเห็นได้เฉพาะวัตถุใกล้จาก 6 เมตรเข้ามา ถ้าไกลกว่านี้ไม่มี stereopsis มีความลึกจาก depth of focus หรือ monocular clue เท่านั้น

ความผิดปกติของ Binocular vision

เมื่อตา 2 ข้าง ไม่ทำงานร่วมกัน รับภาพจากวัตถุต่างกัน จะเกิดภาวะ 2 อย่าง ได้แก่

1.การสับสน (Confusion) เมื่อจอตาที่เดียวกัน (จากตา 2 ข้าง) มีภาพ 2 ภาพ เกิดขึ้น เช่น ผู้ป่วยที่ตาขวาเขออก วัตถุที่อยู่หน้าตาซ้ายเป็นวัตถุ “ ก ” นั่นคือ fovea ของตาซ้ายเห็นวัตถุ “ ก “ ขณะที่ตาขวาเขออกไปเห็นวัตถุที่กระตุ้น fovea ตาขวา เห็นวัตถุ “ ข “ สมองจะรับรู้ว่ามีวัตถุ “ ก “ และ “ ข “ ซ้อนกันอยู่เกิดการสับสน มึนงง

2.การเห็นภาพเป็นสอง/การเห็นภาพซ้อน (diplopia) เนื่องจากภาพที่เกิดจากตา 2 ข้าง คนละตำแหน่งกันจึงเห็นภาพอยู่คนละตำแหน่ง (เห็นเป็น 2 ภาพ)

เมื่อเกิดภาวะผิดปกติทั้งสับสนและเห็นวัตถุชิ้นเดียวเป็น 2 อัน ร่างกายจะปรับตัวอย่างไร (การปรับตัวที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเฉพาะในเด็กที่การพัฒนาการเห็นยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น ไม่เกิดในผู้ใหญ่ที่การพัฒนาจบสิ้นไปแล้ว)

1. Suppression เป็นการกดภาพใดภาพหนึ่งไว้ ไม่ให้รับรู้เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นเป็น 2 ภาพ การกดภาพนี้อาจเป็นตาข้างใดข้างหนึ่งข้างเดียว (ในกรณีที่เป็นตาเขข้างเดียว ซึ่งนานเข้าจะเกิดภาวะตาขี้เกียจ (amblyopia) ในตาข้างนั้นหรือผลัดกันในตาทั้ง 2 ข้าง (ในกรณีที่ตาเขนั้นอยู่ในภาวะผลัดกันเข) มักจะไม่เกิดภาวะตาขี้เกียจ และในกรณีที่เป็นตาเขเป็นครั้งคราว (intermittent strabismus) จะมีการกดภาพเป็นบางครั้ง และการกดภาพอาจเป็นมาก คือ กดจนมองไม่เห็นเลย หรือเห็นลางๆ ก็ได้

2. Anomalous retinal correspondence (ARC) เป็นการปรับจอตาให้คล้อยตามจอตาข้างดี ในคนปกติ ถ้าภาพตกที่จอตาจุดหนึ่ง เช่น จุด “ ก “ ในตาขวา และภาพนั้นตกที่จอตาอีกข้าง คือ ตาซ้าย ที่จุด “ ข “ จุด “ ก “ และ “ ข “ จะคล้อยตามกัน หากผู้ป่วยมีตาข้างซ้ายเข เมื่อมองวัตถุตาขวาถูกที่จุด “ ก “ แต่ตาซ้ายถูกที่จุด “ ค “ ( ไม่ใช่ “ ข “ ) จอตาซ้ายจะค่อยๆ ปรับให้คล้อยตาม “ ก “ ในตาขวา ซึ่งผิดปกติไป คือ จุด “ ก “ ไปสอดคล้องกับจุด “ ค “ แทนที่จะเป็นจุด “ ข “ หากผู้ป่วยรับการผ่าตัดแก้ไขตาซ้ายให้ตรง เมื่อวัตถุถูกที่จุด ก ในตาขวา และจุด ข ในตาซ้าย คราวนี้ จุด “ ข “ ในตาซ้ายไม่สอดคล้องกับจุด “ ก “ ในตาขวา ทำให้เมื่อตาตรงเกิดปัญหาเห็นวัตถุเป็น 2 ภาพได้