My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 15: วิกฤตคือโอกาสที่ดี

อาทิตย์ที่แล้ว ที่หนูไม่ค่อยได้เขียนมาคุยกับอาจารย์ เพราะหนูใช้เวลาว่างส่วนใหญ่กับการแปลบทความ และหาข้อมูลต่างๆที่จะช่วยเหลือด้านสังคมและจิตใจ และอะไรที่จะช่วยลด ผลข้างเคียงของยาลงได้บ้าง เริ่มจากความคิดที่อยากให้คนไข้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงอยากแบ่งปันสิ่งดีๆนี้ให้คนไข้ และช่วยลดปัญหาของตัวเองไปด้วยค่ะ

ไม่น่าเชื่อเลยว่า อาทิตย์หน้าหนูต้องกลับไปเรียนแล้ว เวลาหนึ่งเดือนช่างผ่านไปไวเสียจริง ถึงแม้หนูจะไม่ได้เรียนเหมือนเพื่อนๆ แต่หนูก็ได้รับประสบการณ์มากมายเลยค่ะ

หนูยังคงกลับไปเยี่ยมคนไข้เก่าที่หนูเคยดูแล แม้อาจจะไม่บ่อยเหมือนแต่ก่อน คนไข้ต่างถามหนูว่าช่วงนี้หายไปไหน หนูก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง หลายคนก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหนู

“ดีแล้วหมอออย หยุดพักไปก่อน เดี๋ยวก็หาย พี่เชื่อว่าน้องต้องจบมาเป็นหมอที่ดีในอนาคต ขอบคุณที่ดูแลพี่กับลูกอย่างดีมาตลอดนะคะ” คุณแม่ที่หนูเคยเข้าช่วยทำคลอด คุยกับหนูขณะกำลังอาบน้ำให้ลูกน้อยที่เพิ่งออกจากตู้อบหลังคลอดก่อนกำหนด “อีกไม่กี่วันน้องน่าจะกลับบ้านได้แล้ว หมอออยมีอะไรก็โทรมาคุยได้นะคะ เป็นกำลังใจให้นะ”

บางวัน หนูลองเปลี่ยนบรรยากาศไปโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นบ้าง อาจารย์ พี่ resident (แพทย์ประจำบ้าน) และเพื่อนๆ ก็ช่วยเหลืออย่างดี หลายครั้งที่ยังรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเพื่อนอยู่ แต่หนูก็ค่อยๆ ชินกับความรู้สึกนี้ แม้ว่าเราจะต่างจากเพื่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เก่ง หรือไม่ดีเท่าคนอื่น เราสามารถทำอะไรได้เหมือนเพื่อนๆ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าเราควรดูแลตัวเองอย่างไรให้เราสามารถทำงานได้ดี และมีความสุข

ทุกวันจันทร์ หนูจะรีบตื่นแต่เช้า (ถือว่าเช้านะคะ เพราะช่วงนี้หนูตื่นสายมาก) เพื่อไปเข้ากิจกรรมกลุ่มที่คลินิกโรคลมชัก ที่นี่หนูรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่คุยกันแล้วเข้าใจกันโดยไม่ต้องอธิบายให้ยากเลย เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ระหว่างคนไข้ด้วยกัน หนูเห็นใจหลายคนที่ยังมีปัญหาหลายอย่าง บางคนทำงานไม่ได้ต้องอยู่บ้านคนเดียว หนูก็พยายามคุยกับเขา หาข้อมูลดีๆมาให้ และปิดท้ายด้วยเพลงที่ให้กำลังใจ คลอเสียงกีต้าร์คลาสสิคที่นุ่มนวล บางคนแทบจะร้องไห้เลยเมื่อได้ร้องเพลงไปพร้อมกับหนู แต่เขาก็ประทับใจ และมีแรงที่จะสู้ต่อไป

หลายคนคงยังไม่คุ้นตาภาพลักษณ์ของสาวนักศึกษาแพทย์ปี 4 แบกกระเป๋ากีต้าร์สีดำ มาเล่นดนตรีให้คนไข้ฟัง มีคนทักหนูมากมาย บางคนก็บอกว่าน่ารักจังเลย รุ่นพี่ก็ถามว่าช่วงนี้ว่างเหรอ หนูก็ตอบไปตามตรง ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องอาย เพราะเราก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว

และหนูได้ทำสิ่งที่ทำให้หนูมีความสุขมากที่สุด นั่นคือการที่ได้มอบความสุขให้แก่ผู้อื่น

น่าเสียดายที่คนไข้ทุกคนไม่ได้มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้ทุกสัปดาห์อย่างหนู และหนูก็ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสได้มาคุย มาร้องเพลงกับคนไข้ลมชักอีกไหม ทุกครั้งที่หนูได้มาที่นี่ หนูรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ และหนูก็ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของหนูอีกครั้ง หนูออยที่สดใสร่าเริง คุยเก่ง รักเสียงเพลง ได้กลับมาแล้ว

แต่สิ่งที่หนูได้เพิ่มมาก็คือ หนูควบคุมอารมณ์ได้ ปล่อยวางกับความทุกข์ได้ และมองโลกในแง่บวกมากขึ้น

สัปดาห์นี้ หนูตั้งใจจะเตรียมตัวสำหรับการขึ้นเรียนแผนกอายุรกรรม หนูอยากให้อาจารย์รู้ว่า หนูพร้อมแล้ว ไม่ว่ามันจะหนักหรือเหนื่อยเท่าไร อาการของหนูจะแย่ลงหรือไม่ แต่หนูสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด(อันนี้คงต้องพยายามค่ะ) และทานยาให้ครบ เพราะก่อนที่จะดูแลคนอื่นได้ดี เราต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน หนูจะตั้งใจเรียน ทำให้สุดความสามารถ ถ้ามีปัญหาอะไร หนูจะรีบปรึกษาอาจารย์นะคะ

ส่วนเรื่องเพื่อน หนูคิดว่าคงไม่มีปัญหา หนูจะพยายามปรับตัวเข้าหาเพื่อนให้มากขึ้น ส่วนใครที่เคยนินทา เคยแกล้ง เคยล้อเลียน หนูให้อภัยเขาไปแล้ว

เราห้ามใครนินทาเราไม่ได้ แต่เราห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปถือโทษโกรธเขาได้

วันนี้ เพื่อนๆ ที่ได้ออกไปโรงพยาบาลสมทบจะกลับมากันแล้ว แต่ละคนคงมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังมากมาย

แต่ถ้ามีใครถามหนู ว่าเดือนที่ผ่านมาหนูทำอะไร หนูจะตอบว่า หนูได้ไปโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ช่วยผ่าตัดคลอด เหน็บยา cytotec ให้คนไข้ เวลาว่างก็อ่านหนังสือเตรียมขึ้นแผนกอายุรกรรม ไปทำบุญ นั่งสมาธิ ทดลองรักษาภูมิแพ้แบบ Homeopathy (ซึ่งหนูจะเล่ารายละเอียดให้ฟังภายหลัง) นอนห้าทุ่ม ตื่นแปดโมง สู้กับผลข้างเคียงของยาช่วงที่เพิ่มยา หาประสบการณ์เกี่ยวกับโรคลมชักและการอ่านคลื่นไฟฟ้าสมอง ช่วยอาจารย์สอนการผ่าครูใหญ่ให้รุ่นน้อง ไปดูหนังกับอ.โฉม แปลบทความ เรียนภาษาอังกฤษ เรียนทำขนม ฝึกเต้น ซ้อมกีต้าร์ วันศุกร์นี้จะไปเป็นนักไวโอลินในงานเกษียณอายุราชการของอาจารย์ชวนชม และที่สำคัญที่สุด คือได้รู้ว่า การดูแลสุขภาพของตัวเองมีความสำคัญมากเพียงใด

ที่คลินิกโรคลมชัก หนูก็ได้เป็นทั้งนักศึกษาแพทย์ คนไข้ นักดนตรี พยาบาล เด็กเสิร์ฟ พนักงานต้อนรับแขก

อาจารย์คะ สักวันหนึ่ง หนูจะเป็น “อาจารย์หมอ” ให้ได้นะคะ

บทสรุป ความเจ็บป่วยเป็นวิกฤตของชีวิต แต่ก็เป็นโอกาสพัฒนาในอีกด้านหนึ่งเพราะเรียนรู้และยอมรับมันแต่ไม่ยอมแพ้ ก็สามารถฝ่าฟันและผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆได้ อีกทั้งได้ประสบการณ์อีกด้านหนึ่งที่เป็นชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียว มีการกล่าวไว้ว่าช่วงที่เราเจ็บป่วยเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ดี เพราะได้มีโอกาสทบทวนสิ่งต่างๆในชีวิต สามารถทำอะไรได้มากมาย ซึ่งในช่วงที่เราปกตินั้นไม่มีโอกาสได้ทำ ดังนั้นทุกๆวิกฤตคือโอกาสที่ดีเสมอ