มองโรค(โลก)แบบหมอสมศักดิ์ ตอน: ไวรัสขึ้นสมอง

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้มีโอกาสดูแลผู้ป่วยหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่ง มาพบผมเพราะมีอาการไวรัสขึ้นสมอง ซึ่งตอนแรกที่ผมได้ยิน ผมนึกว่าผู้ป่วยเคยเป็นไวรัสไข้สมองอักเสบ แต่ไม่ใช่ครับ ลองติดตามเรื่องที่น่าสนใจของผู้ป่วยรายนี้

ผู้ป่วย : “คุณหมอค่ะ ป้ามีอาการปวดศีรษะมากเลยค่ะ มันปวดมาประมาณ 6 เดือนแล้ว รู้สึกว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มันค่อยๆเดินจากตับของป้าขึ้นมาที่หน้าอกขวา แขนขวา ไหล่ขวา ขึ้นไปที่ขมับขวา แล้วค่อยๆลามไปที่ศีรษะ ตอนนี้ป้าว่ามีไวรัสหลายแสนตัวอยู่ในสมองป้า หมอช่วยป้าหน่อยนะค่ะ ป้ากลัวว่าไวรัสมันจะกินเนื้อสมองป้าหมดแล้วป้าก็จะสมองเสื่อม เสียชีวิต”

ต้องบอกว่าเกิดมาก็เพิ่งได้ยินอาการของผู้ป่วยรายนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตครับ ไวรัสตับอักเสบบีหลายแสนตัวกำลังกินสมองผู้ป่วย อะไรจะน่ากลัวขนาดนั้น ผมก็เลยค่อยๆ ตั้งสติ แล้วสอบถามอาการอย่างละเอียด

หมอ : “คุณป้าครับ คุณป้ามีอาการเป็นมาอย่างไร และอาการอะไรที่ป้าถึงบอกว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบมันกินสมองป้าครับ น่าสนใจมากเลย ลองเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดหน่อยครับ”

คุณป้าก็เริ่มเล่า เล่าอย่างละเอียดจริงๆ ครับ โดยคุณป้าบอกว่า เมื่อ 1 ปีก่อนไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปีเพราะจะทำประกันชีวิต ตรวจพบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบชนิดบี จึงไปตรวจกับแพทย์เฉพาะทางต่อ แพทย์ตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีมากกว่า 1,000,000 ตัว จึงให้การรักษา อาการไม่มีอะไรมาก อ่อนเพลียเป็นบางครั้ง เชื้อไวรัสก็ลดลงมาดีและก็ขาดการติดตามไป ต่อมาเริ่มมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดเพราะมีปัญหาสามีกับลูกๆ นิดหน่อย จึงทำให้ปวดศีรษะเรื้อรังมา 6 เดือน ไปตรวจกับหมอมาหลายโรงพยาบาล รวมทั้งจิตแพทย์ก็ไม่พบความผิดปกติ คุณป้าจึงตัดสินใจไปตรวจแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (เอมอาร์ไอ สมอง) ผลการตรวจพบว่ามีสมองฝ่อ หลังจากนั้นคุณป้าก็บอกว่ามีอาการไวรัสตับอักเสบบีก็เริ่มกินสมองป้าไปเรื่อยๆ เพราะจะมีอาการปวดศีรษะและเจ็บบริเวณช่องท้องด้านขวา ปวดจี๊ดๆ แล้วค่อยๆ ลามไปที่หน้าอกขวา แขนขวา ไหล่ขวา ขมับขวาและก็ลามไปทั้งสมอง ยิ่งไปตรวจพบว่ามีสมองฝ่อ ก็สรุปได้เลยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีกินสมองเพราะปวดหัว เป็นไวรัสตับอักเสบบีและก็ตรวจพบสมองฝ่อ

ผมต้องยอมรับว่าอาการต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ เหตุผลต่างๆ ที่คุณป้าเล่ามาเป็นเหตุเป็นผลหมดเลย แต่เราก็รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ในหลักวิชาการ แต่จะทำอย่างไรให้คุณป้าเชื่อเราและหายป่วยจากอาการวิตกกังวลนี้ได้ ผมจึงต้องค่อยๆ หาวิธีอธิบายและสร้างความมั่นใจให้คุณป้าทีละขั้น ดังนี้

  1. ตรวจประเมินหน้าที่ของตับ จำนวนไวรัสบีใหม่ ผลปรากฎว่าปกติดี
  2. ตรวจอัลตราซาวด์ตับก็ปกติ
  3. ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองให้ใหม่ เพราะคุณป้าขอร้องอยากดูว่า สมองฝ่อไปมากแค่ไหน

ผลพบว่าก็มีสมองฝ่อเล็กน้อยเข้าได้กับอายุ ไม่มีอาการของสมองเสื่อมหรือโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดมาเลี้ยงใดๆ เลย ผมก็อธิบายให้คุณป้าฟังโดยละเอียด คุณป้าก็ไม่เชื่ออีก คราวนี้ยากแล้วครับ ผมก็เลยให้ยารักษาความกังวล ปรากฏว่าได้ผลครับ นัดมาอีก 2 สัปดาห์ คุณป้าบอกว่าไวรัสไม่ค่อยเดินขึ้นสมองแล้ว ยาคุณหมอดีมาก ฆ่าไวรัสไปเกือบหมด ป้าสบายใจขึ้นมาก หัวก็หายปวด หมอเก่งจริงๆ

ผมแอบยิ้มในใจว่าเราก็สวมบทบาทเล่นละครกับผู้ป่วยได้ดี จนคุณป้าเชื่อเราว่าเราจัดการกับไวรัสตับอักเสบบีขึ้นสมองได้ ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ได้ยุ่งอะไรกับไวรัส เพราะมันไม่มีจริงๆ ผมเพียงแค่จัดการกับความกังวลของผู้ป่วย แต่ไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะผู้ป่วยบางรายถึงพูดตรงๆ ก็ยอมรับไม่ได้ ไม่เชื่อเรา ก็เลยต้องสวมรอยไปกับผู้ป่วยด้วย

เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่าถ้าเรารู้ว่าความคิดของผู้ป่วยคืออะไร และที่ผ่านมาผู้ป่วยได้รับรู้ข้อมูลอะไรมาบ้าง มีวิธีคิดอย่างไรกับข้อมูลที่เขาได้รับมา เราก็จะให้การรักษาผู้ป่วยได้ดีขึ้น และการพูดความจริงทั้งหมดก็อาจทำให้ผู้ป่วยสับสน เช่น คำว่า สมองฝ่อ