ชีวิตพิการเพราะรูมาตอยด์ (ตอนที่ 5)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 15 สิงหาคม 2559
- Tweet
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน (ต่อ)
- การลดความเครียด (Stress reduction) – ผู้ที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์มักมีความกลัว โมโห และคับข้องใจ อันเนื่องมากจากความปวดหรือข้อจำกัดของร่างกาย ซึ่งสามารถทำให้มีความเครียดและรู้สึกปวดมากขึ้น ดังนั้นจึงควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด (Relax) การเบี่ยงเบนความสนใจ (Distraction) จากอาการที่เป็นอยู่ด้วยกิจกรรมอย่างอื่น
- การกินอาหารที่มีประโยชน์ (Healthful diet) ให้พอเพียง – สำหรับผู้ที่ใช้ยา Methotrexate ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะนอกจากแอลกอฮอล์จะมีผลต่อตับแล้ว ยานี้จะมีผลข้างเคียงในการทำลายตับด้วย
สำหรับการใช้ยา ชนิดของยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์ เช่น
- ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs = NSAIDs) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ เช่น ยา Ibuprofen ยา Naproxen sodium ทั้งนี้ ยาเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ มีเสียงในหู ท้องปั่นป่วน ผิวหนังเป็นผื่น ความดันโลหิตสูง บวมน้ำ (Fluid retention) หัวใจมีปัญหา ตับและไตถูกทำลาย ดังนั้นจึงควรใช้ยากลุ่มนี้ในปริมาณที่น้อยเท่าที่จะทำได้และภายในระยะเวลาที่สั้น
- ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เช่น ยา Prednisone ที่ช่วยอาการอักเสบและปวด ช่วยชะลอการถูกทำลายของข้อ ทั้งนี้ ยานี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ กระดูกบาง น้ำหนักตัวเพิ่ม เป็นโรคเบาหวาน แพทย์มักสั่งยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการเฉียบพลัน และจะค่อยๆ ลดยานี้ลง
- ยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรครูมาตอยด์ (Disease-modifying antirheumatic drugs = DMARDs) ช่วยลดพัฒนาการของโรคข้อรูมาตอยด์ ช่วยรักษาข้อและเนื้อเยื่ออื่นไว้จากการถูกทำลายอย่างถาวร
- ยากลุ่มสารชีวภาพ (Biologic agents) ซึ่งเป็นยากลุ่ม DMARDs ตัวใหม่ เช่น ยา Abatacept ยา Adalimumab ยา Anakinra ยา Certolizumab ยา Etanercept ยา Golimumab ยา Infliximab ยา Rituximab ยา Tocilizumab และยา Tofacitinib โดยยาเหล่านี้จะมุ่งเน้นไปที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบ อย่างไรก็ดี ยากลุ่มนี้สามารถทำให้มีการติดเชื้อได้ง่ายด้วย
โดยยากลุ่มนี้ ได้แก่ ยา Methotrexate ยา Leflunomide ยา Hydroxychloroquine และยา Sulfasalazine ซึ่งมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา คือ ตับถูกทำลาย มีการกดไขกระดูก (Bone marrow suppression) และติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ ในอดีตแพทย์มักให้ยาอ่อนๆ เช่น ยา Aspirin ก่อน แล้วจึงค่อยเพิ่มความแรงของยาตามอาการที่แย่ลง แต่ปัจจุบันจากการศึกษากลับพบว่า ควรใช้ยาหลายตัวร่วมกัน และโรคจะทุเลาลงได้เมื่อรักษาแต่เนิ่นๆ ด้วยยาแรง อย่างยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรครูมาตอยด์ หรือที่เรียกกันว่า ยาต้านโรครูมาติก (Disease-modifying antirheumatic drugs = DMARDs) ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้พัฒนาการของโรคช้าลง นอกจากนี้แพทย์อาจให้ทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยให้ข้อยืดหยุ่นได้
แหล่งข้อมูล
1. Rheumatoid arthritis. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/rheumatoid-arthritis/home/ovc-20197388 [2016, August 14].
2. Rheumatoid arthritis. http://www.aao.org/eye-health/diseases/what-is-dry-eye [2016, August 14].
3. Rheumatoid arthritis. http://www.niams.nih.gov/health_info/rheumatic_disease/ [2016, August 14].