คลั่งผอมเสี่ยงตาย (ตอนที่ 6)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 28 พฤษภาคม 2560
- Tweet
ทั้งนี้ สมาคมจิตเวชของอเมริกัน (The American Psychiatric Association) ได้กำหนดกฎเกณฑ์ของการวินิจฉัยว่าเป็นโรคคลั่งผอม (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders / DSM-5) หรือไม่ ดังนี้
- มีการจำกัดอาหาร – กินน้อยกว่าที่จำเป็นในการรักษาน้ำหนักให้พอดีกับอายุและส่วนสูง
- กลัวน้ำหนักเกิน – มีพฤติกรรมที่กลัวอ้วน เช่น กินแล้วล้วงให้อาเจียน กินยาระบาย
- มีปัญหาเรื่องรูปร่าง – บิดเบือนการรรับรู้ในรูปร่าง
ผู้ที่มีความผิดปกติเรื่องการกินสามารถรักษาได้ อย่างไรก็ดี คนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงในการกลับมาเป็นซ้ำ (Relapse) ถึงร้อยละ 50 หากอยู่ในระหว่างช่วงเวลาที่เครียดหรือมีสิ่งกระตุ้น เช่น การลดน้ำหนักหลังคลอด ดังนั้น จึงควรมีการรักษาอย่างต่อเนื่องหรือนัดเป็นช่วงๆ
สำหรับแนวทางการรักษาโรคคลั่งผอมจำเป็นต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น
- การรักษาตัวที่โรงพยาบาล กรณีที่มีอาการรุนแรง มีโรคแทรกซ้อน ขาดอาหารรุนแรง หรือไม่ยอมกินอาหาร อาการแทรกซ้อนของโรคคลั่งผอมจำเป็นต้องการการเฝ้าระวังอยู่บ่อยๆ เช่น การวัดสัญญาณชีพ การวัดระดับน้ำและเกลือแร่ การให้อาหารทางสายยาง ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้กลับมามีสุขภาพปกติ
- นักโภชนาการ (Dietitian) ช่วยให้คำแนะนำในการกินอาหาร เพื่อให้มีแคลอรี่ตามน้ำหนักที่ต้องการ
- จิตบำบัด (Psychotherapy) ซึ่งอาจประกอบด้วย
- การใช้ยา – ยังไม่มียาชนิดไหนที่ได้รับการรับรองว่าสามารถรักษาโรคคลั่งผอมได้ดี มีเพียงยาต้านซึมเศร้าหรือยาบำบัดทางจิตที่สามารถช่วยรักษาความผิดปกติเท่านั้น
- การแพทย์สนับสนุน (Complementary medicine) ที่สามารถใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน (Conventional medicine) ในการช่วยลดความวิตกกังวล เพิ่มความผ่อนคลาย ซึ่งได้แก่
- การฝังเข็ม (Acupuncture)
- การนวด (Massage)
- การเล่นโยคะ (Yoga)
- การทำสมาธิ (Meditation)
- Anorexia nervosa. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/anorexia/home/ovc-20179508 [2017, May 28].
แหล่งข้อมูล: