ครีมกันแดด (Sunscreen)
- โดย รศ.พญ.เปรมจิต จันทองจีน
- 27 ธันวาคม 2556
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- SPF คืออะไร?
- PPD คืออะไร?
- PA คืออะไร?
- ควรทาครีมกันแดดอย่างไร?
- ครีมกันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร?
- ครีมกันแดดชนิดต่างๆแตกต่างกันอย่างไร?
- ครีมกันแดดมีผลข้างเคียงอย่างไร?
- ใครมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ครีมกันแดด?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเกิดผลข้างเคียงจากครีมกันแดด?
- สามารถใช้ครีมกันแดดในเด็กได้หรือไม่?
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรใช้ครีมกันแดดได้หรือไม่?
- บรรณานุกรม
บทนำ
ครีมกันแดด (Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหนัง เพื่อปกป้องผิวหนังจากรังสียูวี (UV: Ultraviolet light/อุลตราไวโอเลต/อัลตราไวโอเลต) จากแสงแดดจัด ที่มีอยู่ในหลายรูป แบบ เช่น ครีม โลชัน ฯลฯ
ชนิดของครีมกันแดด แบ่งตามชนิดของสารกรองแดด (UV filter) ที่เป็นส่วนประกอบได้ดังนี้ คือ
- สารกรองแดดอนินทรีย์ (Inorganic UV filter) มักเป็นสารทึบแสงที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงที่กระทบมา สามารถกันได้ทั้งรังสีอัลตร้าไวโอเลต/รังสียูวี และแสงที่มองเห็น (Visible light) โดยไม่ก่อปฏิกิริยาเคมีกับผิวหนัง ด้วยคุณสมบัติที่ปกป้อง เหมือนเคลือบผิวไว้ จึงมักเรียกครีมกันแดดในกลุ่มนี้ เป็น ครีมกันแดดที่ออกฤทธิ์ทางกายภาพ/ออกฤทธิ์ภายนอก (Physical sunscreen)
ข้อดีคือ ดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อย ทำให้เกิดการแพ้น้อย
แต่มีข้อเสียคือ ครีมมักข้น เหนียวเหนอะเหนะเมื่อทาผิว
โดยสารกันแดดในกลุ่มนี้ เช่น ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide, ZnO2), ไททาเนียมไดออก ไซด์ (Titanium Dioxide, TiO2)
- สารกรองแดดอินทรีย์ (Organic UV filter) เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดซับแสงที่มากระ ทบกับผิวหนัง แล้วเกิดปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ดังนั้นอาจเรียกว่าเป็นครีมกันแดดที่ออกฤทธิ์ทางเคมี (Chemical sunscreen) มีความสามารถในการกรองแสงแตก ต่างกันตามชนิดของสารกรองแสง ซึ่งมีความสามารถในการป้องกันรังสียูวี เอ (UV- A) และรังสียูวี บี (UV- B) แตกต่างกัน
ข้อเสียที่สำคัญคือ สารกันแดดในกลุ่มนี้มักไม่คงทน (Instability) และสามารถทำให้ผิว หนังเกิดการแพ้ได้ (เช่น คัน ขึ้นผื่น)
สารกันแดดในกลุ่มนี้ เช่น
ชื่อเคมีสามัญ | CE No. | ชื่อสามัญ | ชื่อการค้า | ตัวย่อชื่อสามัญ |
Broad-Spectrum and UVAI (340-400nm) | ||||
Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine | Bemotrizinol | S 81 | Tinosorb | BEMT |
Butyl Methoxydibenzoylmethane | S 66 | Avobenzone | Parsol 1789 | BMBM |
Diethylamino Hydroxybenzoyl Hexyl Benzoate | S 83 | - | Uvinul A Plus | DHHB |
Disodium Phenyl Dibenzimidazole Tetrasulfonate | S 80 | Bisdisulizole Disodium | Neo Heliopan AP | DPDT |
Drometrizole Trisiloxane | S 73 | - | Mexoryl XL | DTS |
Menthyl Anthranilate | - | Meradimate | - | MA |
Methylene Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol | S 79 | Bisoctrizole | Tinosorb M | MBBT |
Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid | S 71 | Ecamsule | Mexoryl SX | TDSA |
Zinc Oxide | S 76 | Zinc Oxide | ZnO (Nanox) | ZnO |
UVB (290-320nm) and UVAII (320-340nm) | ||||
4-Methylbenzylidene Camphor | S60 | Enzacamene | Eusolex 6300 | MBC |
Benzophenone-3 | S 38 | Oxybenzone | - | BP3 |
Benzophenone-4 | S 40 | Sulisobenzone | Uvinul MS40 | BP4 |
Polysilicone-15 | S 74 | - | Parsol SLX | PS15 |
Diethylhexyl Butamido Triazone | S 78 | - | Uvasorb HEB | DBT |
Ethylhexyl Rimethyl PABA | S 08 | Padimate O | Eusolex 6007 | EHDP |
Ethylhexyl Methoxycinnamate | S 28 | Octinoxate | Uvinul MC 80 | EHMC |
Ethylhexyl Salicylate | S 13 | Octisalate | Neo Heliopan OS | EHS |
Ethylhexyl Triazone | S 69 | Octyltriazone | Uvinul T 150 | EHT |
Homomenthyl Salicylate | S 12 | Homosalate | Eusolex HMS | HMS |
Isoamyl p-Methoxycinnamate | S 27 | Amiloxate | Neo Heliopan E1000 | IMC |
Octocrylene | S 32 | Octocrylene | Uvinul N 539 T | OCR |
Phenylbenzimidazole Sulfonic Acid | S 45 | Ensulizole | Eusolex 232 | PBSA |
Titanium Dioxide (nano) | S 75 | Titanium Dioxide | Eusolex T2000 | TiO2 |
Tris Biphenyl Triazine (nano) | S 84 | - | Tinosorb | TBPT |
แหล่งอ้างอิง : Jansen R, Osterwalder U, Wang SQ, Burnett M, Lim HW. Phototprotection: Part II. Sunscreen: Development, efficacy, and controversies. J Am Acad Dermatol 2013; 69(6): 869.e1-14.
SPF คืออะไร?
SPF (เอส พี เอฟ) ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสียูวี บี (UV B) ว่า ป้องกันได้มากกว่าปกติกี่เท่า เช่น SPF 30 หมายถึง ถ้าในคนปกติ ผิวหนังจะมีอาการแดงเมื่อตากแดดเป็นเวลา 15 นาที แต่เมื่อใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ผิวหนังจะแดงเมื่อตากแดดเป็นเวลา 15x30=450 นาที อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจริง แสงแดดมีความแรงไม่สม่ำเสมอ รวมทั้งการเสียดสี และเหงื่อ ทำให้ค่าความสามารถในการป้องกันแสงต่ำกว่าค่าที่ได้จากห้องทดลอง ดังนั้นจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำประมาณ ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อให้มีประสิทธิภาพปกป้องผิวที่ดีขึ้น
PPD คืออะไร?
PPD (พี พี ดี) ย่อมาจาก Persistent Pigment Darkening เปรียบได้เสมือน SPF กล่าว คือ เป็นการบอกประสิทธิภาพของครีมกันแดดว่าสามารถป้องกันรังสียูวี เอ ได้กี่เท่าเมื่อเทียบกับผิวปกติ เช่น PPD 8 คือบริเวณที่ทาครีมกันแดดจะเกิดผิวคล้ำขึ้นได้ช้ากว่าผิวปกติ 8 เท่า
PA คืออะไร?
PA (พี เอ) ย่อมาจาก The protection grade of UV A เป็นระบบหนึ่ง ในการบอกประ สิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสียูวี เอ (UV A) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้มากในเอเชีย แบ่ง เป็น
ระบบ PA | จำนวนเท่าในการป้องกันรังสียูวี เอ (เปรียบเทียบกับที่ไม่ได้ใช้ครีมกันแดด) |
PA+ | 2-4 |
PA++ | 4-8 |
PA+++ | >8 |
ควรทาครีมกันแดดอย่างไร?
ควรทาครีมกันแดด ดังนี้
- ควรทาครีมก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที
- ปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสมคือ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตรของเนื้อที่ผิว โดยทั่ว ไป สำหรับบริเวณใบหน้าและคอ ปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสมคือ 2 ช้อนชา หรือประ มาณ 2 ข้อนิ้วมือ (ดังภาพ) อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติมักทำได้ยาก จึงแนะนำให้ทา
ครีมกันแดด 2 รอบ โดยแต่ละรอบใช้ครีมกันแดดปริมาณประมาณ 1 ข้อนิ้วมือแทน
- ควรทาครีมกันแดดซ้ำ ทุก 2-4 ชั่วโมง
ครีมกันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร?
ครีมกันแดดที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มี SPF มากกว่าหรือเท่ากับ 30
- ปกป้องครอบคลุมทั้ง UV A และ UV B (Broad spectrum)
- กันน้ำได้ (Water resistant)
ครีมกันแดดชนิดต่างๆแตกต่างกันอย่างไร?
ครีมกันแดดชนิดต่างๆ (เช่น ครีม โลชัน เจล สเปรย์) แตกต่างกันที่ส่วนประกอบ ความสบายผิวเมื่อใช้ และการให้ความชุ่มชื้นกับผิว เช่น ครีมกันแดดชนิดครีมเหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีกว่า ในขณะที่ชนิดโลชันจะทาง่าย แต่จะมีปริมาณสารกรองแดดที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ดังนั้นในการทาโลชันกันแดด ต้องใช้ปริมาณมากกว่าชนิดครีมเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเท่าครีมกันแดด
ดังนั้น ผู้ใช้ครีมกันแดด จึงควรต้องอ่านเอกสารกำกับการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก่อนการใช้เสมอ ร่วมกับการสังเกตว่า ตนเองพอใจ หรือเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์รูปแบบชนิดใด
ครีมกันแดดมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากครีมกันแดด ได้แก่
- สามารถทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสได้
- สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้
ใครมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ครีมกันแดด?
ไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่า ใครจะได้รับผลข้างเคียง/แพ้ ครีมกันแดด โดยครีมกันแดดที่มีสารกรองแดดอินทรีย์ จะมีโอกาสเกิดผื่นแพ้ได้มากกว่า ในขณะที่ครีมกันแดดที่มีสารกรองแดดอนินทรีย์ จะมีโอกาสเกิดการอุดตันและเป็นสิวได้มากกว่า อย่างไรก็ตามการแพ้ครีมกันแดดอาจเกิดจาก การระคายเคือง (Irritation) ของสารต่างๆที่เป็นส่วนประกอบในครีมกันแดดต่อผิวโดยตรง, แพ้สารกันเสีย (Preservatives), และ/หรือ แพ้ส่วนประกอบอื่นๆเช่นเดียว กับการแพ้ผลิตภัณฑ์ทั่วไป
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเกิดผลข้างเคียงจากครีมกันแดด?
การดูแลตนเองเมื่อเกิดผลข้างเคียง/แพ้ครีมกันแดด คือ ควรหยุดครีมกันแดด และต้องแยกว่าเป็นผื่นแพ้ หรือเกิดการอุดตันจากการใช้ครีม จึงดูแลรักษาตามสาเหตุนั้นๆ
ถ้าเป็นผื่นแพ้ แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจทดสอบผื่นแพ้สัมผัสว่า แพ้สารกรองแดดตัวใด, สารกันเสียตัวใด, หรือเป็นการระคายเคืองของส่วนประกอบในครีม และ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีส่วนประกอบของสารที่แพ้ตลอดไป
สามารถใช้ครีมกันแดดในเด็กได้หรือไม่?
โดยทั่วไป ไม่แนะนำให้เด็กเล็ก หรือทารก อยู่ในที่ที่แสงแดดจัด ควรหลบแดดในร่มหรือใส่เสื้อผ้า หมวกปกป้อง อย่างไรก็ตาม ถ้าจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดด สามารถใช้ได้ในเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน และควรเป็นครีมกันแดดชนิดที่มีสารกรองแดดที่ออกฤทธิ์ทางกายภาพ/เฉพาะภายนอก ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย เป็นหลัก
หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรใช้ครีมกันแดดได้หรือไม่?
หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร สามารถใช้ครีมกันแดดได้ เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยน แปลงระหว่างช่วงตั้งครรภ์ จะกระตุ้นให้เกิดฝ้ามากขึ้นได้ และอาจป้องกันแดดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การอยู่ในที่ร่ม การใส่เสื้อผ้าปกคลุม การใส่หมวกปีกกว้าง และเช่นเดียวกับการใช้ในเด็ก คือ ควรเลือกชนิดที่ออกฤทธิ์ทางกายภาพเป็นหลัก
บรรณนุกรม
- สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย. แนวทางในการใช้ Sunscreen
- สมาคมแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา http://www.aad.org [2013,Dec10].
- Sunscreen. http://en.wikipedia.org/wiki/Sunscreen [2013,Dec10].
- Jansen R, Osterwalder U, Wang SQ, Burnett M, Lim HW. Phototprotection: Part II. Sunscreen: Development, efficacy, and controversies. J Am Acad Dermatol 2013; 69(6): 869.e1-14.