เพมฟิกัสที่ทรมาน (ตอนที่ 3 และตอนจบ)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 18 เมษายน 2561
- Tweet
ยาที่ใช้รักษา (ต่อ)
- ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) เช่น ยา Azathioprine หรือ ยา Mycophenolate mofetil ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่ดี อย่างไรก็ดียากลุ่มนี้ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่สูง
- การรักษาโดยชีวบำบัด (Biological therapies) เช่น การฉีดยา (Rituximab) เพื่อช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างสารภูมิต้านทาน (Antibodies) ต่อโรคเพมฟิกัส ในกรณีที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ยาต้านไวรัส (Antivirals) และยาต้านเชื้อรา (Antifungal) อาจใช้เพื่อควบคุมหรือป้องกันการติดเชื้อ
- ยาอื่นๆ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ยา Dapsone และการใช้แอนติบอดีในรูปแบบการฉีดเข้าหลอดเลือด (Intravenous immunoglobulin = IVIG)
- การดูแลบาดแผล (Wound care) ที่เป็นตุ่มพองและเจ็บ
และบางครั้งการรักษาโรคเพมฟิกัสอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดย
- การให้สารน้ำ (Fluids) เพราะการเจ็บปวดที่ผิวหนังอาจทำให้มีการสูญเสียสารน้ำในร่างกาย จึงต้องมีการชดเชยด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือด (Intravenously)
- การให้อาหารทางหลอดเลือด (Intravenous feeding) อาจจำเป็นในกรณีที่อาการเจ็บปากทำให้กินไม่ได้ ซึ่งจะมีการใส่สายยางผ่านจมูกเข้ากระเพาะอาหาร (Nasogastric tube)
- การให้ยาระงับความรู้สึก (Anesthetic) ที่ปาก เพื่อช่วยควบคุมอาการปวดของอาการเจ็บปาก
- การเปลี่ยนถ่ายเลือด (Therapeutic plasmapheresis) มีการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา (Plasma) เพื่อขจัดแอนติบอดีที่ทำลายผิวหนัง
- Extracorpeal photochemotherapy ซึ่งเป็นการนำเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมารักษาด้วยยาที่เรียกว่า Psoralen ร่วมกับแสงอัลตราไวโอเลต (UVA light) เพื่อฆ่าเชื้อในเซลล์เม็ดเลือดขาว หลังจากนั้นจึงนำเลือดที่รักษาแล้วกลับเข้าสู่ร่างกาย โดยการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 2 วัน และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังการรักษาในแต่ละวัน
ในส่วนของการดูแลตัวเองนั้นสามารถทำได้ด้วยการ
- ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ในการทำแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเป็นแผลเป็น
- กินยาตามแพทย์สั่ง เพราะการหยุดหรือเปลี่ยนยาอาจเป็นสาเหตุให้อาการแย่ลง
- ทำความสะอาดผ้าเช็ดตัว ผ้าปูเตียง และเสื้อผ้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ร่วมกับผู้อื่น
- ปกป้องผิวด้วยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำร้ายแผลหรือทำให้แผลติดเชื้อ เช่น การเล่นกีฬา การอาบน้ำร้อน
- หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่ไปกระตุ้นแผลพุพอง เช่น กระเทียม หัวหอม และ อาหารชนิดแข็ง
- หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตอาจกระตุ้นให้เกิดตุ่มพองใหม่ได้
- พบทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการรักษาสุขภาพฟันในกรณีที่มีแผลพุพองในปาก
- หากเกิดที่บริเวณตา ควรใส่แว่นตาเพื่อป้องกันแสง และพบจักษุแพทย์
- เนื่องจากคอร์ติโคสเตียรอยด์มีผลกระทบกับแคลเซียมและวิตามินดีในร่างกาย ดังนั้นอาจปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการเพิ่มสารดังกล่าว
แหล่งข้อมูล:
- Pemphigus.https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/pemphigus/symptoms-causes/syc-20350404 [2018, April 17].
- Pemphigus. https://www.aad.org/public/diseases/painful-skin-joints/pemphigus [2018, April 17].