ทำไมต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ? (ตอนที่ 1)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 5 มกราคม 2559
- Tweet
หลังจากมีโรคระบาดอย่าง ซาร์ส ไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่ ระบาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ “หน้ากากอนามัย” เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น จุดประสงค์หลักๆ คือ การป้องกันโรคด้วยวิธีลดการแพร่กระจายเชื้อโรคกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันโรคได้จริงหรือและป้องกันได้แค่ไหน เรามาดูกัน
แพทย์หญิงรติกร เมธาวีกุล ระบุว่า หน้ากากอนามัยในท้องตลาดที่นิยมใช้มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ
- หน้ากากผ่าตัด (Surgical Mask) เป็นหน้ากากอนามัยธรรมดาที่ใช้กันทั่วไป ใช้บ่อยที่สุด เพราะใช้งานง่ายและราคาไม่แพง ราคามาตรฐานอยู่ที่ชิ้นละ 5-10 บาท
- หน้ากากอนามัยชนิด N95 เป็นหน้ากากอนามัยชนิดพิเศษ สามารถป้องกันเชื้อโรคได้มากขึ้น มีหลายแบบ มีทั้งทรงกลม ทรงยาวรี หรือทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแบบไหนก็มีหลักการใส่เหมือนกันหมด ราคามาตรฐานอยู่ที่ชิ้นละ 30-60 บาท
แพทย์หญิงรติกร ชี้แจงว่า การเลือกใช้หน้ากากอนามัยแบบไหน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ว่าจะใช้ป้องกันเชื้อโรคประเภทใด โดยทั่วไปเชื้อโรคที่เราคาดหวังว่าจะใช้หน้ากากอนามัยป้องกันมี 2 ประเภท คือ
- Droplet Transmission คือ เชื้อโรคที่แพร่กระจายโดยการไอและจาม ส่วนมากเชื้อจะแพร่ไปไม่ไกลเกิน 1 เมตร ตัวอย่างเชื้อโรคในกลุ่มนี้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ เยื้อหุ้มสมองอักเสบบางชนิด การป้องกันเชื้อโรคกลุ่มนี้ แค่ใช้หน้ากากผ่าตัด และอยู่ห่างจากผู้ป่วยเกิน 3 ฟุต ก็จะเพียงพอต่อการป้องกันโรค
- Airborne Transmission คือ เชื้อโรคที่แพร่กระจายได้ไกลในอากาศรอบตัว (ระยะไกลมากกว่า 1 เมตร และอาจไกลได้ทั้งห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องอับ ห้องแอร์) ตัวอย่างเชื้อโรคในกลุ่มนี้ เช่น เชื้อวัณโรค การป้องกันเชื้อโรคกลุ่มนี้ต้องใส่หน้ากากอนามัยชนิด N95 จึงจะมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการป้องกันโรค
แพทย์หญิงรติกร เมธาวีกุล ยังกล่าวถึงข้อเท็จจริงในการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรค ว่า
- หน้ากากอนามัยชนิด Surgical Mask ที่นิยมใช้กันทั่วไป ไม่อาจป้องกันได้ทุกโรค เช่น วัณโรคจะป้องกันไม่ได้
- หน้ากาก อนามัยชนิด N95 แม้จะมีประสิทธิภาพมากกว่าชนิด หน้ากากผ่าตัด แต่ก็มีข้อจำกัด คือ เวลาใส่จะอึดอัดมาก เหมือนกับขาดออกซิเจน จึงไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยแบบ N95 ได้ทั้งวัน และการใส่หน้ากากอนามัยชนิดนี้ ต้องใส่ให้แนบสนิทกับใบหน้าจริงๆ จึงจะได้ผล เพราะถ้าอากาศผ่านเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องเปิดตรงคาง แก้ม หรือจมูก เชื้อโรคก็จะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ จึงมีค่าเท่ากับไม่ได้ใส่
แหล่งข้อมูล
1. หน้ากากอนามัย ป้องกันโรคได้ จริงหรือ? http://manager.co.th/GoodHealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000138967&Keyword=%e2%c3%a4[2016, January 4].