โรคอาร์เอสวี หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial virus infection)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร?พบบ่อยไหม?

โรคอาร์เอสวี หรือ โรคไวรัสอาร์เอสวี หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี(Respiratory syncytial virus infection ย่อว่า RSV infection) คือ  โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสชื่อ Respiratory syncytial virus ย่อว่า อาร์เอสวี/RSV  ซึ่งเป็นไวรัสสกุล Pneumovirus และวงศ์ Paramyxoviridae  โดยเป็นไวรัสในคน มีคนเป็นโฮสต์/Host  มักพบอยู่ในโพรงหลังจมูก    และจากการศึกษาพบว่าไวรัสนี้สามารถก่อโรคได้ในสัตว์หลายประเภท เช่น หนูชนิดต่างๆ  ตัวFerret  และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แกะ, ฯลฯ

ไวรัสอาร์เอสวี แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย(Subtype) คือ ชนิด เอ/A  และชนิดบี/B โดยชนิดย่อย A, มักมีความรุนแรงสูงกว่าชนิดย่อย B    

ไวรัสอาร์เอสวี เป็นไวรัสที่มีชีวิตอยู่ในคน และขณะอยู่ในคน/ผู้ป่วย ไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้นานประมาณ 3-8 วันนับจากวันที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ แต่สามารถอยู่ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค(ภูมิคุ้มกัน)ต่ำและแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้นานถึงประมาณ 4 สัปดาห์รวมถึงในระยะไม่มีอาการ  ทั้งนี้ไวรัสนี้เมื่ออยู่นอกร่างกายคนจะชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2-7 วันขึ้นกับอุณภูมิและความชื้นของสถานที่นั้นๆ

โดยทั่วไป  ไวรัสอาร์เอสวีตายได้ง่ายใน สภาวะที่แห้ง,  สภาวะที่มีอุณหภูมิสูง, โดยสามารถฆ่าไวรัสนี้ได้จากความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 55 องศาเซลเซียส(Celsius) นานตั้งแต่ 5 นาทีขึ้นไป, หรือจากน้ำยาฆ่าเชื้อได้หลายชนิด  เช่น สบู่  ผงซักฟอก  น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดต่างๆ เช่น Formalin, Sodium hypochlorite, 1% Iodine, และในสภาวะที่มีความเป็นกรด(pH น้อยกว่า 7)

โรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี พบได้ตลอดปี  แต่พบสูง/เกิดชุกขึ้น หรือมีการระบาดได้ตามฤดูกาล โดยในเขตร้อนที่รวมถึงประเทศไทย โรคพบสูงขึ้นในฤดูฝน  แต่ในประเทศเขตหนาว มักพบโรคสูงขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงตลอดฤดูหนาว

โรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี  พบทั่วโลก   ทุกอายุ  ทุกเพศ ไม่ต่างกันทั้งในเพศหญิงและเพศชาย รวมถึงทุกเชื้อชาติ  แต่พบสูงในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2ปี   ซึ่งโรคมักรุนแรงในเด็กวัยต่ำกว่า6เดือน โดยเฉพาะเมื่อเด็กมีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด , อยู่อาศัยในที่แออัด เช่น ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก, คนในบ้านรวมถึงผู้ดูแลสูบบุหรี่

โรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี เป็นโรคพบบ่อย แต่สถิติการเกิดที่แน่นอนยังไม่แน่ชัด เพราะอาการโรคจะคล้ายโรคหวัด และโดยทั่วไปโรคจะไม่รุนแรง ผู้ป่วยปกติทั่วไปจะหายได้เองเหมือนโรคหวัด แพทย์จึงมักวินิจฉัยรวมอยู่ในโรคหวัด

โรคอาร์เอสวีเกิดและติดต่อได้อย่างไร?

โรคอาร์เอสวี-01

โรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี เป็นโรคติดต่อได้ง่าย โดยเกิดจากระบบทางเดินหายใจติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี   ซึ่งเบื้องต้น เป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตอนบน/ส่วนบน(โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน)ก่อน  ต่อเมื่อโรครุนแรงจึงลุกลามเป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตอนล่าง(ปอดอักเสบ/ปอดบวม)ร่วมด้วย

ทั้งนี้การติดเชื้อนี้  เกิดจากการคลุกคลีใกล้ชิด สัมผัสกับเชื้อ(ที่อยู่ในสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจผู้ป่วย)  คือส่วนใหญ่ เกิดจากมือที่สัมผัสกับสารคัดหลั่งเหล่านั้น  ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ของผู้ป่วย, หรือที่ติดอยู่ตามตัวผู้ป่วย ตามสิ่งของ/เครื่องใช้ต่างๆ(Fomites) เช่น เสื้อผ้า  โต๊ะ  เก้าอี้  ราวบันได  ของใช้ต่างๆ(เช่น ของเล่น)  โทรศัพท์  แก้วน้ำ  ช้อน  ชาม แล้วเชื้อจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทาง ช่องปาก  เยื่อจมูก และเยื่อตา  แต่เชื้อฯมักไม่แพร่กระจายผ่านทางอากาศ(Air borne transmision)  

นอกจากนั้นเกือบทุกราย ยังเกิดจากได้รับเชื้อจาก การไอ จามของผู้ป่วยจากเชื้อที่อยู่ในละอองฝอยของสารสารคัดหลั่งที่ปนมาในการไอ จาม(Droplet)

ดังนั้น วิธีป้องกันโรคนี้ได้ดีที่สุด คือ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย,   รู้จักใช้หน้ากากอนามัย, ล้างมือบ่อยๆ,  ล้างมือทุกครั้งก่อนการบริโภค, ร่วมกับการแยกของใช้ต่างๆ โดยเฉพาะ แก้วน้ำ  ช้อน เสื้อผ้า โทรศัพท์ ราวบันได โต๊ะ ของใช้/เครื่องใช้ร่วมกัน เพราะละอองฝอยของสารคัดหลังจากทางเดินหายใจผู้ป่วยจะติดสะสมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เมื่อมือสัมผัส และไปสัมผัสปาก จมูก ตา เชื่อไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายได้

โรคอาร์เอสวีมีอาการอย่างไร?

โรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี จะเริ่มมีอาการหลังร่างกายได้รับเชื้อ(ระยะฝักตัวของโรค)ในช่วงประมาณ 2-8 วัน  

 โดยทั่วไปในคนปกติที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันปกติ โรคนี้จะไม่รุนแรง และอาการจะคล้ายโรคหวัด โดยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งโรคจะหายได้เองจากการดูแลตนเองตามอาการภายในระยะเวลาเช่นเดียวกับโรคหวัด คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์    

แต่ในกลุ่มที่อาการรุนแรง โรคจะลุกลามเป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตอนล่าง คือในหลอดลมขนาดเล็กในปอดที่เรียกว่า “หลอดลมฝอย” เกิดเป็นการอักเสบในหลอดลมฝอย(Bronchiolitis) และลุกลามรุนแรงเป็นปอดอักเสบ/ปอดบวมได้

อาการของโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี ที่เป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและที่อาการไม่รุนแรง ได้แก่   มีไข้ต่ำๆ   คัดจมูก  มีน้ำมูกใส ไอบ้างโดยเป็นไอแห้งๆ/ไอไม่มีเสมหะ  น้ำตาไหล  จากนั้นในคน/ในเด็กที่ภูมิคุ้มกันปกติ หลังการพักผ่อนเต็มที่ และ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ  ร่วมกับกินยาลดไข้   อาการต่างๆจะดีขึ้น ภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์

แต่ในคน/เด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาการจะค่อยๆรุนแรงมากขึ้นๆ  ไอมากขึ้น  เสียงแหบจากกล่องเสียงอักเสบ/บวม   ไข้สูงขึ้น  อ่อนเพลียมาก  กินได้น้อย  ดื่มน้ำได้น้อย  เสมหะมากขึ้น  หายใจเร็วขึ้น  หายใจเสียงหวีด    หอบเหนื่อย   ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจหยุดหายใจ และอาจตายได้จากภาวะหายใจล้มเหลวโดยเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์

ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคอาร์เอสวีที่รุนแรง?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคอาร์เอสวีที่รุนแรง ได้แก่

  • มีโรคปอดเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่มีการเจริญเติบโตของปอดผิดปกติแต่กำเนิด
  • เด็กที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 5 กิโลกรัม
  • มีโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะชนิดที่มีความผิดปกติในการไหลเวียนเลือดที่เรียกว่า Cyanotic heart disease
  • มีภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำมาก
  • เด็กที่เกิดจากมารดาขณะตั้งครรภ์สูบบุหรี่จัด
  • เด็กที่มีโรคกล้ามเนื้อที่เกิดจากระบบประสาทผิดปกติ
  • เด็กคลอดก่อนกำหนดโดยที่อายุครรภ์ต่ำกว่า 35 สัปดาห์
  • ผู้ที่มีฐานะยากจน

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ผู้ที่มีอาการโรคหวัดที่หลังได้รับการดูแลตามอาการแล้ว ถ้าอาการเลวลง ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอโดยเฉพาะใน เด็กอ่อน  เด็กเล็ก และในผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคอาร์เอสวีรุนแรง ดังได้กล่าวใน ‘หัวข้อ ผู้มีปัจจัยเสี่ยงฯ’

แพทย์วินิจฉัยโรคอาร์เอสวีอย่างไร?

โดยทั่วไป แพทย์วินิจฉัยโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี จากลักษณะทางคลินิก โดยไม่ต้องใช้การสืบค้นด้วยวิธีอื่น  คือ วินิจฉัยจาก 

  • ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อายุผู้ป่วย  ประวัติอาการโรค   การระบาดในแหล่งที่พักอาศัย การระบาดในโรงเรียน   เป็นต้น   ร่วมกับ  
  • การตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจฟังเสียงหายใจจากปอดด้วยหูฟัง  

แต่ในบางกรณี ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นหรือจากการติดเชื้อแบคทีเรีย  แพทย์จึงจะมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมโดยขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์และอาการผู้ป่วย  เช่น 

  • ตรวจสารก่อภูมิต้านทานจากสารคัดหลั่ง(Swab/สวอบในจมูกหรือลำคอหรือโพรงหลังจมูก,
  • การตรวจเพาะเชื้อจากโพรงหลังจมูก, การตรวจเชื้อ/การเพาะเชื้อจากเสมหะ  
  • ตรวจเลือด
    • ดูค่า ซีบีซี/CBC  
    • ดูสารภูมิต้านทานหรือสารก่อภูมิต้านทานต่อโรคที่แพทย์สงสัย
  • เอกซเรย์ภาพปอด   

รักษาโรคอาร์เอสวีอย่างไร?

แนวทางหลักในการรักษาโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี คือ การรักษาตามอาการ ด้วยยังไม่มีตัวยาใดที่มีประสิทธิภาพเฉพาะเจาะจงสำหรับรักษาโรคนี้   

 นอกจากนั้น โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าไวรัสไม่ได้ ฆ่าได้แต่แบคทีเรีย  ดังนั้นแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

  • กรณีโรคมีอาการคล้ายโรคหวัดที่อาการไม่รุนแรงที่เป็นอาการผู้ป่วยส่วนใหญ่: การรักษา คือ การดูแลตนเองที่บ้าน ทั่วไป ได้แก่
  • พักผ่อนให้เต็มที่
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้มากๆอย่างพอเพียง(ใช้จิบน้ำบ่อยๆ ไม่ใช่ดื่มครั้งละมากๆ)เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบในทุกวัน
  • กินอาหารปรุงสุกที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ไม่กินอาหารค้าง 
  • เคลื่อนไหวร่างกายตามควรกับสุขภาพ
  • หยุดงาน/หยุดเรียนจนกว่าไข้จะลงเป็นปกติแล้ว 24 ชั่วโมง
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่บ่อยๆและทุกครั้งก่อนกินอาหาร
  • แยกเครื่องใช้ต่างๆ เช่น แก้วน้ำ ช้อน เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว  ผ้าเช็ดหน้า  ของเล่น
  • สั่งน้ำมูกด้วยกระดาษทิชชู แล้ว ทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง
  • กินยา Paracetamol เพื่อลดไข้ และแก้ปวดหัว
  • ไม่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้  ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้ไอ  
  • ในเด็กห้ามกินยา Aspirin ด้วยอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรง ที่เรียกว่า ‘กลุ่มอาการราย’
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • ไม่คลุกคลีกับคนอื่น

อนึ่ง: โรคนี้จะมีอาการตามธรรมชาติของโรคอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์

  • กรณีโรคมีอาการรุนแรง ซึ่งมักเกิดจากมีการติดเชื้อในหลอดลมฝอยในปอดและ/หรือมีปอดบวมร่วมด้วย ผู้ป่วยมักต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการด้วยวิธีการเดียวกับดังกล่าวใน’ข้อ ก.’  และมักร่วมกับ
  • ให้ออกซิเจนเมื่อผู้ป่วยมีปัญหาทางการหายใจ   
  • ให้สารน้ำ/สารอาหารทางหลอดเลือดดำกรณีผู้ป่วยดื่มน้ำ/กินอาหารได้น้อย(ภาวะขาดน้ำ)   
  • ดูดเสมหะออกจากจมูกด้วยลูกยางและ/หรือ ใช้เครื่องช่วยดูดเสมหะจากลำคอกรณีมี น้ำมูก เสมหะ มากหรือข้นเหนียวจนผู้ป่วยกำจัดออกเองไม่ได้
  • นอกจากนั้น อาจมีการใช้ยาต่างๆซึ่งจะเป็นกรณีๆไปตามแต่ละอาการของผู้ป่วย และ ดุลพินิจของแพทย์เพราะยาเหล่านี้อาจได้ผลเฉพาะผู้ป่วยบางรายเท่านั้น  เช่น  
    • ยาละลายเสมหะ
    • ยาขยายหลอดลม
    • ยาแก้ไอ
    • ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์
    • ยาปฏิชีวนะเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
    • ยาต้านไวรัสที่ชื่อ Ribavirin ที่มีรายงานใช้ได้ผลในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ฯลฯ

โรคอาร์เอสวีมีผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ในโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี  นอกจากการเกิดหลอดลมฝอยอักเสบ และ ปอดบวมแล้ว ที่พบได้ คือ

  • กล่องเสียงอักเสบ กล่องเสียงบวมที่ส่งผลให้หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย และ เสียงแหบ
  • หูชั้นกลางอักเสบ/ หูชั้นกลางติดเชื้อ

โรคอาร์เอสวีมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคของโรคอาร์เอสวี คือ

  • กรณีโรคไม่รุนแรง: โรคจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์จากรักษาดูแลตนเองแบบการรักษาตามอาการคล้ายในโรคหวัด ดังได้กล่าวใน’หัวข้อ การรักษาฯ’ แต่ผู้ป่วยอาจยังมีอาการไอและอ่อนเพลียอยู่ได้นานถึง3-4สัปดาห์
  • กรณีโรครุนแรง: ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล มีโอกาสเสียชีวิตได้จากภาวะหายใจล้มเหลว ซึ่งในสหรัฐอเมริกา  มีรายงานอัตราตายของผู้ป่วยโรคนี้ที่มีอาการรุนแรงอยู่ในช่วง 3%-5%   โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ถึงตายจะเป็นผู้ป่วยที่ยังเป็นทารกและเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี   โดยกรณีทั่วไปในเด็กที่รักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด อัตราตายในภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 1%

อนึ่ง:  ผู้ป่วยโรคนี้ที่รักษาหายแล้ว สามาถกลับมาติดโรคนี้ซ้ำได้เสมอ  นอกจากนั้น ยังมีบางรายงานพบว่า ในผู้ป่วยที่มีอาการ ‘หายใจเสียงหวีด’โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กเล็ก พบว่าเมื่อโตขึ้นมีโอกาสเป็นโรคหืดได้สูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งแพทย์ยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ แต่เชื่อว่า น่าจะเกิดจากเด็กกลุ่มนี้มีพันธุกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องระหว่างโรคนี้และโรคหืด

ดูแลผู้ป่วย ดูแลตนเอง อย่างไร?

การดูแลตนเอง หรือการดูแลผู้ป่วยโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี ในกรณีอาการโรคไม่รุนแรง หรือกรณีที่แพทย์อนุญาตให้ดูแลตนเองที่บ้าน จะเช่นเดียวกับในการดูแลผู้ป่วยโรคหวัด ซึ่งที่สำคัญ ได้แก่

  • พักผ่อนให้เต็มที่
  • หยุดงาน หยุดโรงเรียน จนกว่าไข้จะลงปกติแล้ว 48 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
  • ล้างมือบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
  • แยกเครื่องใช้ต่างๆ เช่น แก้วน้ำ ช้อน  เสื้อผ้า
  • ไม่ไปในที่แออัด
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง ประเภทอาหารทางการแพทย์)
  • กินยาลดไข้ ยาแก้ปวด Paracetamol  หรือกรณีที่พบแพทย์แล้ว ก็กินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน
  • ถ้าอาการต่างๆแย่ลง ให้รีบไปโรงพยาบาล เช่น ไข้สูงขึ้น  ไอมากขึ้น  มีเสมหะมากขึ้น  เสมหะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆที่ไม่ใช่สีขาว(แสดงว่าน่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจร่วมด้วย) เช่น เขียว  น้ำตาล เทา

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

เมื่อเป็นโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี และได้พบแพทย์ หรือแพทย์อนุญาตให้กลับมาดูแลตนเองที่บ้าน(กรณีมีการรักษาในโรงพยาบาล) ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

  • อาการต่างๆแย่ลง เช่น เสียงแหบมากขึ้น  ไอมากขึ้น  หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย  อ่อนเพลียมาก
  • กลับมามีอาการที่เคยรักษาหายไปแล้ว เช่น  มีไข้  ไอมาก หายใจลำบาก
  • เกิดอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ขึ้นผื่น   บวมตามตัว เพราะอาจเกิดจากการแพ้ยาที่แพทย์สั่งได้
  • เมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันโรคอาร์เอสวีอย่างไร?

ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคอาร์เอสวี/ไวรัสอาร์เอสวี/โรคติดเชื้ออาร์เอสวี  แต่มีการผลิตวัคซีนแล้วซึ่งกำลังอยู่ในการศึกษาประสิทธิภาพและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในผู้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้

อนึ่ง: ในสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเด็กกลุ่มมีโอกาสติดเชื้อนี้สูงและจะมีอาการที่รุนแรงมากจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง จะมีการให้ยาซึ่งเป็นสารภูมิต้านทาน กลุ่ม โมโนโคลนอลแอนตีบอดี เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับเด็กเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงนี้ เช่นยา  พาลิวิซูแมบ    

บรรณานุกรม

  1. Dawson-Caswell,M., and Muncle, JR, H. Am Fam Physician.2011;83(2):141-146
  2. Falsey,A. et al. NEJM.2005;352(17): 1749-1762
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Respiratory_syncytial_virus [2021,Nov27]
  4. https://www.healthline.com/health/respiratory-syncytial-virus-rsv [2021,Nov27]
  5. https://emedicine.medscape.com/article/971488-overview#showall [2021,Nov27]
  6. https://www.canada.ca/en/public-health/services/laboratory-biosafety-biosecurity/pathogen-safety-data-sheets-risk-assessment/respiratory-syncytial-virus.html [2021,Nov27]
  7. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK442240/ [2021,Nov27]