ตาเหล่ ตาเข (Strabismus)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ในคนปกติ ตาทั้ง 2 ข้างทำงานร่วมกันเสมอ ถ้าตาขวาจะมองไปทางขวา ตาซ้ายก็ต้องมอง ไปทางขวาด้วย หรือถ้าตาซ้ายมองขึ้นบน ตาขวาจะมองลงล่างหรือไปทางอื่นไม่ได้ ต้องมองขึ้นบนด้วย เรียกว่า ไปไหนไปด้วยกันเป็นแนวขนานกันไป ยกเว้นเวลามองใกล้ตาทั้ง 2 ข้างจะหมุนเข้าหากันเพื่อจับภาพที่อยู่ใกล้

เวลามองตรงไปข้างหน้าในคนปกติ ตาทั้ง 2 ข้างจะต้องอยู่ตรงกลาง แต่เมื่อตาสองข้างเวลามองตรง ตาหนึ่งอยู่ตรงกลาง แต่อีกตาเฉออกซึ่งอาจเฉออกด้านไหนก็ได้ เช่น เฉออกมาที่หัวตาหรือเฉขึ้นบน เรียกภาวะหรือโรคนี้ว่า โรค/ภาวะตาเขหรือตาเหล่ (Strabismus )

ในบางคนที่เวลามองไกล ตาข้างหนึ่งอยู่ตรงกลาง แต่ตาอีกข้างกลับหมุนเข้าในเรียกภาวะนี้ว่า ตาเขเข้าใน (Esotropia) หรือตาหนึ่งอยู่ตรงกลาง อีกข้างหนึ่งกลอกออกมาทางหางตาหรือออกนอกเรียกว่า ตาเขออกนอก (Exotropia) รวมไปถึงตากลอกขึ้นบนเรียกว่า ตาเขขึ้นบน(Hypertropia) หรือตาเขลงล่าง (Hypotropia) เป็นต้น เรียกว่าแบ่งชนิดของตาเขได้ตามลักษณะหรือตำแหน่งของตาที่ผิดปกติไป นอกจากนั้นยังพบว่าตาเขบางชนิดเป็นตลอดเวลา (Constant strabismus) หรือเป็นบางเวลาเรียกว่า Intermittent strabismus หรือบางรายผลัดกันเข บางครั้งเป็นตาขวา บางครั้งเป็นตาซ้ายเรียกว่า Alternate strabismus

มีอีก 2 สภาวะที่คล้ายตาเขมากได้แก่ ตาเขซ่อนเร้น (Phoria), และตาเขเทียม (Pseudo strabismus)

ก. ตาเขซ่อนเร้น บางคนเรียกว่าตาส่อน: เป็นภาวะที่ถ้าลืมสองตา ตาทั้ง 2 ข้างจะอยู่ตรงกลางดี เวลาที่ร่างกายอ่อนเพลียหรือเอาอะไรมาบังตาข้างหนึ่งเสีย ตาข้างที่ถูกบังจะเบนออกจากตรงกลาง แต่ถ้าเอาที่บังตาออก ตาข้างนั้นจะกลับมาตรงได้ใหม่ อาจเรียกว่า ความต้องการในการมองเห็นภาพ เป็นภาพเดียวกันมีสูง สามารถบังคับให้ตาที่เขกลับมาตรงได้ ภาวะนี้มักจะไม่มีปัญหาอะไร อาจเป็นเหตุให้มีอาการเมื่อยตา ตาล้า ง่ายกว่าคนทั่วไปเวลาใช้สายตามากๆ ซึ่งแก้ไขได้โดยการฝึกกล้ามเนื้อตา

ข. สำหรับตาเขเทียม: พบในเด็กที่สันจมูกยังแบนราบกับผิวหนัง และบริเวณหัวตากว้าง (Epicanthus) จึงแลดูคล้ายตาเขเข้าใน เมื่อเด็กโตขึ้นสันจมูกมีดั้งสูงขึ้น ภาวะคล้ายตาเขนี้จะหายไป

ตาเขมีผลเสียอย่างไร?

ตาเหล่

ผลเสียจากตาเข คือ

1. เห็นชัดๆ ทำให้เสียบุคลิกไม่สวยงามเป็นปมด้อย คนตาเขจึงมักไม่สู้หน้าคน บั่นทอนสุข ภาพจิต

2. การมองเห็นด้อยกว่าคนปกติ เนื่องจากใช้ตาเดียวเป็นหลัก การมองเห็นของคนเราที่ดีที่ สุดคือต้องมองเห็น 3 มิติในวัตถุขนาดเล็กๆได้ ซึ่งต้องอาศัยตาที่เห็นชัดทั้ง 2 ข้าง และทำงานร่วมกันได้ดี ผู้ที่มีตาเข ตา 2 ข้างจะไม่ทำงานร่วมกันเรียกว่าต่างคนต่างทำ จึงมอง วัตถุเล็กๆไม่เป็น 3 มิติ ทำให้ทำงานที่ละเอียดไม่ได้ดีเช่น ช่างฝีมือต่างๆ

3. ตาเขบางชนิดโดยเฉพาะเขแบบขึ้นบนหรือลงล่าง ผู้ป่วยบางคนจะหันหน้าหรือเอียงคอ ชดเชยความผิดปกติ ยิ่งจะทำให้บุคลิกผู้นั้นผิดไปจากคนทั่วไป

4. เป็นที่ทราบกันดี ตาเขเป็นสาเหตุของตาขี้เกียจที่สำคัญ เนื่องจากตาที่เขไม่ค่อยได้ใช้ งาน

5. อาจเป็นอาการของโรคต่างๆได้ ดังจะกล่าวต่อไปในหัวข้อ ตาเขมีสาเหตุจากอะไร?

ตาเขมีสาเหตุจากอะไร?

สาเหตุของโรคตาเขที่พบบ่อย คือ

1. เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ การซักประวัติของบุคคลในครอบครัวจะช่วยวินิจฉัยได้

2. เกิดจากมีสายตาผิดปกติ ที่พบบ่อยคือ เด็กที่มีสายตายาวปานกลางจะมีตาเขเข้าใน เพราะเด็กต้องเพ่งเพื่อปรับสายตาให้เห็นชัด การเพ่งบ่อยๆทำให้ตาเขเข้าในได้ หากพบแต่แรกๆการแก้ไขสายตายาวด้วยแว่นจะทำให้ภาวะตาเขหายไป และในเด็กที่มีสายตาสั้นหรือเอียงบางคน ทำให้กล้ามเนื้อตาขาดสมดุลเป็นเหตุให้เกิดตาเขได้

3. มีโรคในลูกตาข้างใดข้างหนึ่งทำให้สายตาข้างนั้นมัวลงมากกว่าอีกข้าง กล้ามเนื้อตาจึงไม่สมดุล เกิดภาวะตาเขได้

4. นอกจากนี้ยังพบภาวะตาเขมากกว่าเด็กทั่วไปในเด็กที่มีความผิดปกติของระบบประสาทส่วน กลาง เช่น เด็กปัญญาอ่อนหรือเด็กที่มีพัฒนาการร่างกายช้า

5. ตาเขในเด็กเล็ก อาจเป็นอาการของมะเร็งจอตา (โรคมะเร็งตาในเด็ก) หากไม่รีบรับการรักษา เด็กอาจถึงแก่ชีวิตจากมะเร็งได้

6. ตาเขในบางคนไม่ได้เกิดแต่กำเนิด มาเกิดภายหลังโตขึ้นแล้วหรือเกิดเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเกิดจากโรคทางกายอื่นๆ เช่น

  • เนื้องอกสมอง ทำให้เส้นประสาทเส้นที่ 6 เป็นอัมพาตเป็นเหตุให้เกิดตาเข
  • มะเร็งในส่วนศีรษะและลำคอที่ลุกลามกดกล้ามเนื้อตาหรือลุกลามเข้าเส้นประสาท เกิดตาเขขึ้นได้เช่น มะเร็งไซนัสและมะเร็งโพรงหลังจมูก
  • โรคเบาหวาน เมื่อเป็นนานๆทำให้กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาตได้
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ/ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน อาจทำให้เกิดภาวะตาเขได้
  • เป็นอาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้อทั่วตัวอ่อนแรง (Myasthenia gravis หรือ MG หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี: เป็นโรคพบได้บ้างประปราย โดยสาเหตุเกิดยังไม่ทราบชัดเจน) ซึ่งรวม ทั้งกล้ามเนื้อตา
  • มีหลายรายไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

มีการตรวจและรักษาผู้ป่วยตาเขสาเหตุจากโรคทางดวงตาอย่างไร?

มีการตรวจและรักษาผู้ป่วยตาเขสาเหตุจากโรคดวงตา ดังนี้

1. วัดสายตาทั้ง 2 ข้างว่ามีการเห็นปกติหรือไม่ ถ้ามีสายตาสั้น เอียง หรือยาว ต้องรับการแก้ไข(รักษา) ก่อน ในบางรายสายตาที่ผิดปกติเป็นต้นเหตุของตาเข เมื่อแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ ตาอาจ หายเขได้โดยไม่ต้องใช้วิธีอื่น

2. ตรวจดูภายในลูกตาอย่างละเอียด ดูว่ามีโรคตาอื่นเป็นสาเหตุของตาเขหรือไม่

3. วัดดูว่าความเขมากน้อยแค่ไหนเพื่อประเมินการรักษาต่อไป

4. ตรวจดูว่ามีภาวะตาขี้เกียจหรือไม่ถ้ามีต้องรีบรักษาไปพร้อมกันไป

5. หากตาเขไม่มากอาจรักษาโดยการฝึกกล้ามเนื้อตา หรือใช้แว่นแก้วปริซึม (Prism) แก้ไข หรือ บางรายใช้วิธีฉีดน้ำยาโบทอก/Botox (ยาชนิดหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว) เข้ากล้ามเนื้อตาที่เป็นสาเหตุให้ตาเข

6. การผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอาจทำในตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ขึ้นอยู่กับว่าเขมากน้อยแค่ไหน

อนึ่ง เมื่อตาเขเกิดจากโรคอื่นๆ การรักษาคือการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุเช่น รักษาโรคมะ เร็งเมื่อมีสาเหตุจากโรคมะเร็ง เป็นต้น

โดยสรุป ตาเขที่เกิดจากโรคทางดวงตาซึ่งมักเกิดแต่กำเนิด แม้จะไม่ทำให้เสียชีวิต หากรักษาแต่ต้นทำให้เด็กมีพัฒนาการเห็นที่ปกติ มีการใช้ตา 2 ข้างร่วมกัน มีคุณภาพการมองเห็นที่ดีเช่นคนปกติได้

ควรทำอย่างไรเมื่อเด็กตาเข?

เมื่อพบว่าเด็กตาเข ควรพาเด็กปรึกษาจักษุแพทย์ (หมอตา)ทันที ความเข้าใจที่ว่าโตจะหายเองเป็นการเข้าใจที่ผิด ที่หายได้เป็นเฉพาะผู้ที่มีตาเขเทียมเท่านั้น อีกทั้งความคิดที่ว่าเด็กเล็กเกินไปอาจไม่ให้ความร่วมมือนั้นเป็นความคิดที่ผิดอีกเช่นกัน ทั้งนี้ตาเขในเด็กบางคนอาจซ่อนโรคที่ร้ายแรงไว้ ถ้ามัวรอเด็กโตอาจจะได้ผลไม่ดีในการรักษาเช่น โรคมะเร็งจอตา อีกทั้งการรักษาตาเขที่ไม่ทราบสาเหตุในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะรักษาในเด็กเล็กยิ่งขึ้น การผ่าตัดก็นิยมทำในเด็กเล็กลง เนื่องจากการดมยาสลบในเด็กเล็กมีความปลอดภัยสูงขึ้น ผลการผ่าตัดนอกจากทำให้เด็กตาตรงดี เด็กยังจะมีการพัฒนาการมองเห็นสมบูรณ์เหมือนคนปกติได้ ดีกว่ารอเด็กโตค่อยมารับการรักษา

ควรทำอย่างไรเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วตาเข?

ตาเขที่พบในผู้ใหญ่แต่เป็นมาตั้งแต่เด็กและผู้ป่วยใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุข ถ้าไม่อยากแก้ไข ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเป็นคำแนะนำจากแพทย์ แพทย์แนะนำว่าควรได้รับการตรวจตาจากจักษุ แพทย์เสมอ เพื่อหาทางแก้ไขให้กลับปกติหรืออย่างน้อยเพื่อตรวจดูว่า ตาเขเริ่มก่อโรคอะไรต่อดวงตาบ้างเพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ

ส่วนในคนที่ไม่เคยมีตาเขเลยตั้งแต่เกิดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่เพิ่งมาเกิดเอาเมื่อโตขึ้นหรือ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ควรรีบพบแพทย์หรือจักษุแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอื่นๆร่วมด้วยเช่น ปวดศีรษะและ/หรือเดินเซ เพราะสาเหตุอาจมาจากโรคอื่นๆซึ่งอาจเป็นโรคร้ายแรงได้ ดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ ตาเขมีสาเหตุจากอะไร?’