กระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Overactive bladder)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

กระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive bladder ย่อว่า OAB/ โรคโอเอบี)คือ ภาวะ/โรคที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยผิดปกติซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดปัสสาวะชนิดที่ต้องการเข้าห้องน้ำทันที โดยเมื่อเข้าห้องน้ำแล้ว ปริมาณปัสสาวะอาจมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอาการปวดปัสสาวะทันทีนี้จะเกิดบ่อยมากจน กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ ในภาวะปกติ เราจะถ่ายปัสสาวะ/เข้าห้องน้ำประมาณ 4-10 ครั้งต่อวัน(ทั่วไป ประมาณ 6-7ครั้ง/วัน) ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยที่ทำให้มีปัสสาวะมาก เช่น ดื่มน้ำมาก, ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนมาก, ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, กินยาขับปัสสาวะ, กินยาลดความดัน

ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน พบได้บ่อย มักพบในอายุ 18 ปีขึ้นไป พบทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย(บางการศึกษาระบุว่า พบในผู้หญิงบ่อยกว่าในผู้ชาย) และพบสูงขึ้นในอายุที่มากขึ้นหรือในผู้สูงอายุ มีสถิติจากสหรัฐอเมริกา พบโรคนี้ได้ประมาณ 7%-27% ในผู้ชาย, และประมาณ 9%-43% ในผู้หญิง

อนึ่ง ชื่ออื่นของภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ได้แก่ Overactive bladder syndrome, Irritable bladder, หรือ Detrusor instability

กระเพาะปัสสาวะไวเกินเกิดได้อย่างไร?

กระเพาะปัสสาวะไวเกิน

กระเพาะปัสสาวะไวเกิน/ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน เกิดจาก กล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน (ท้องน้อย)ซึ่งมีหน้าที่หดตัว/บีบตัวและขยายตัวตามปริมาณน้ำปัสสาวะ และเมื่อกระเพาะปัสสาวะมีน้ำปัสสาวะที่มากพอ ระบบประสาท/สมอง จะส่งสัญญาณมายังกล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัว/การปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะเพื่อบีบตัวไล่ปัสสาวะออกมา

ในภาวะปกติ คนทั่วไป เมื่อเกิดการปวดปัสสาวะ จะยังสามารถกลั้นปัสสาวะได้ แต่กรณีกระเพาะปัสสาวะไวเกิน จะเกิดความผิดปกติในการสั่งการของสมองมายังกล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ถึงแม้จะไม่มีปัสสาวะ หรือมีปัสสาวะปริมาณน้อย กล้ามเนื้อฯก็จะบีบตัว กระตุ้นให้เกิดการปวดปัสสาวะทันที จนรู้สึกว่าจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ/ถ่ายปัสสาวะ โดยกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ดังนั้นในแต่ละวัน ผู้ป่วย‘โรคนี้จึงต้องเข้าห้องน้ำบ่อยมาก ตั้งแต่ 8 ครั้งขึ้นไป รวมถึงในตอนกลางคืนต้องตื่นเข้าห้องน้ำตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป’

กระเพาะปัสสาวะไวเกินมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ที่แน่ชัด แพทย์ยังไม่ทราบ และผู้ป่วยส่วนใหญ่ แพทย์หาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงไม่ได้ แต่แพทย์เชื่อว่า น่าเกิดจากหลายสาเหตุ/ปัจจัยร่วมกัน ซึ่งสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่แพทย์พบ ได้แก่

  • อายุที่มากขึ้น ยิ่งอายุสูงกว่า 40 ปี ก็มีโอกาสเกิดโรค/ภาวะนี้สูงขึ้น
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง
  • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • โรคต่อมลูกหมากโต(ในผู้ชาย)
  • โรคสมอง เช่น อัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอัลไซเมอร์, โรคพาร์กินสัน,
  • โรคเบาหวาน
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ ยาต้านเศร้า ยาลดความดัน

กระเพาะปัสสาวะไวเกินมีอาการอย่างไร?

อาการของกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน จะเป็นกลุ่มอาการ ซึ่งอาการที่สำคัญที่สุด ที่เกิดในผู้ป่วยทุกคน คือ

  • ปวดปัสสาวะชนิดที่ต้องเข้าห้องน้ำทันทีบ่อยมาก ตั้งแต่ 8 ครั้ง/วันขึ้นไป
  • และร่วมกับต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปต่อคืน

นอกจากนั้น เป็นกลุ่มอาการอื่นๆที่เกิดร่วมด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนหรือต้องเกิดครบทุกอาการ เช่น

  • กลุ่มอาการจากการกักเก็บปัสสาวะผิดปกติ เช่น กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • อาการผิดปกติในขณะถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะไหลช้า, ปัสสาวะไหลๆหยุดๆ, ต้องเบ่งปัสสาวะ, ในช่วงสุดท้ายของการปัสสาวะลักษณะจะเป็นปัสสาวะหยด
  • อาการหลังปัสสาวะสุดแล้ว ได้แก่ ยังมีปัสสาวะรั่วซึมหลังสุดปัสสาวะ, มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ, หลังปัสสาวะสุดแล้วยังรู้สึกได้ว่ามีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
  • ในผู้ป่วยบางราย ยังมีการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ร่วมด้วย

อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดอาการรุนแรง?

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้อาการของกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน รุนแรงขึ้น ได้แก่

  • ดื่มเครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โคลา เครื่องดึ่มชูกำลัง
  • ดื่มน้ำมากเกินปกติ ยกเว้นกรณีที่ร่างกายต้องเสียเหงื่อหรือเสียน้ำมาก เช่น อากาศร้อนจัด ท้องเสีย
  • ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติซึ่งจะทำให้ปัสสาวะข้น จึงก่อการระคายเคืองผนังกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อปัสสาวะบีบตัวมากขึ้น บ่อยขึ้น ซึ่งในสภาพร่างกายปกติ ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ” ที่เมื่อดูแลตนเองแล้วอาการไม่มีดีขึ้น หรือ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

แพทย์วินิจฉัยกระเพาะปัสสาวะไวเกินได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ ประวัติ โรคประจำตัว ประวัติใช้ยาต่างๆ ประวัติการผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานหรือในช่องท้อง
  • การตรวจร่างกาย
  • ในผู้หญิงอาจมีการตรวจภายใน ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์
  • การตรวจปัสสาวะ
  • การเพาะเชื้อจากน้ำปัสสาวะ
  • การตรวจภาพกระเพาะปัสสาวะและภาพระบบทางเดินปัสสาวะด้วยอัลตราซาวด์
  • และอาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติม โดยขึ้นกับ อาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เป็นกรณีแต่ละผู้ป่วย ผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสืบค้นเหมือนๆกัน เช่น
    • การตรวจภาพกระเพาะปัสสาวะ/อุ้งเชิงกราน/ช่องท้องด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน) และ/หรือเอมอาร์ไอ
    • การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ
    • การตรวจกระเพาะปัสสาวะที่เป็นวิธีเฉพาะ เช่น ตรวจการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะที่เรียกว่า Urodynamic testing

รักษากระเพาะปัสสาวะไวเกินอย่างไร?

แนวทางการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน คือการรักษาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และการรักษาอาการของภาวะปัสสาวะไวเกิน

ก. การรักษาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง: เช่น

  • รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกรณีสาเหตุจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • รักษาโรคสมองกรณีสาเหตุมาจากโรคสมอง
  • ปรับเปลี่ยนยาลดความดัน กรณีสาเหตุเกิดจากผลข้างเคียงของยาเหล่านั้น

ข. การรักษาอาการของกระเพาะปัสสาวะไวเกิน: แพทย์มักจะให้การดูแลรักษาเป็นขั้นตอน เช่น

  • ขั้นตอนแรก: คือ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่สำคัญที่สุด คือการจดบันทึกต่างๆทุกวันที่เรียกว่า “Bladder diary” ที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้ตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เพื่อผู้ป่วยจะได้เรียนรู้ลักษณะอาการโรคของ เช่น
    • อาการของการขับถ่ายทุกครั้ง
    • สี กลิ่น ปริมาณ ปัสสาวะทุกครั้ง
    • ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการ หรือกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น
      • การปรับประเภท อาหาร เครื่องดื่ม ยาต่างๆ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
    • การเตรียมความพร้อมในการขับถ่ายเมื่อต้องออกนอกบ้าน

ซึ่งบันทึกนี้ แพทย์ พยาบาล จะนำมาศึกษาเพื่อแนะนำแนวทางการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย ร่วมกับการฝึกการทำงานของกระเพาะปัสสาวะตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เช่น การฝึกเข้าห้องน้ำเป็นเวลา, การฝึกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เรียกว่าการขมิบก้น/การขมิบช่องคลอด (Kegel exercises)

  • ขั้นตอนที่ 2: เมื่อการรักษาขั้นตอนแรกไม่ได้ผล แพทย์จะให้การรักษาเพิ่มเติมร่วมกับการการรักษาขั้นตอนแรก คือ การให้ยาร่วมด้วยเพื่อช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะบ่อย ซึ่งกลุ่มยาหลักที่ใช้ เช่น
    • ยากลุ่ม Anticholinergic agents (Antimuscarinic drugs) เช่นยา Oxybutynin ที่ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัว/บีบตัวลดลง
    • ยากลุ่ม Beta adrenergic agonist ที่ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะขยายตัว กระเพาะปัสสาวะจึงกักเก็บปริมาณปัสสาวะได้มากขึ้น เช่นยา Mirabegron
  • ขั้นตอนที่ 3: การรักษาด้วยวิธีทางศัลยกรรม/การผ่าตัดเข้ามาช่วยร่วมกับวิธีรักษาในข้อ ก. และในข้อ ข.(ขั้นตอน1,2)ที่ได้กล่าวแล้ว เมื่อใช้การรักษาข้อ ก.และข้อ ข.แล้วไม่ได้ผล การรักษาด้วยวิธีที่ต้องใช้ทางศัลยกรรมร่วมด้วย มีหลายวิธี ซึ่งจะเลือกใช้วิธีใด ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา เช่น
    • การฉีดยา โบทูไลนัมท็อกซิน/โบทอกซ์ (Butulinum toxin) เข้ากล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้กล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะคลายตัว ลดการบีบตัว
    • การใช้เครื่องกระตุ้นกระแสไฟฟ้าเพื่อการกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เช่น วิธีที่เรียกว่า Sacral nerve stimulation หรือ Peroneal nerve stimulation
    • การผ่าตัดนำเอาส่วนของลำไส้มาต่อกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการกักเก็บปัสสาวะ ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า Augmentation cystoscopy
    • การปรับเปลี่ยนทางเดินปัสสาวะเพื่อไม่ให้มีปัสสาวะไหลจากท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ โดยผ่าตัดนำท่อไตมาเปิดหน้าท้องจากการทำถุงปัสสาวะ/กระเพาะปัสสาวะเทียม ที่เรียกว่า Urinary diversion

อนึ่ง ปัจจุบัน มีการนำการฝังเข็มมาใช้ช่วยรักษาภาวะนี้ ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีการ ก. และ ข. ซึ่งได้ผลในผู้ป่วยบางราย

กระเพาะปัสสาวะไวเกินมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน มีการพยากรณ์โรค โดยเป็นภาวะที่ไม่มีผลให้ถึงตาย แต่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่เลวลง เช่น การงาน การสังคม จึงอาจก่อให้เกิด ความเครียด วิตกกังวล จนถึงซึมเศร้า

ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน เป็นภาวะเรื้อรัง

  • ประมาณ 40% ของผู้ป่วย อาการจะรักษาได้หายภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปี
  • แต่ที่เหลือประมาณ 60% การรักษาต้องใช้เวลาต่อเนื่อง นานหลายๆปี

มีผลข้างเคียงจากกระเพาะปัสสาวะไวเกินอย่างไร?

ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน มักเป็นปัญหาทางอารมณ์ จากการที่ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น หงุดหงิด ความเครียด กลัว วิตกกังวล ซึมเศร้า นอกจากนั้น เช่น

  • อ่อนเพลียจากนอนไม่พอ เพราะต้องตื่นบ่อยเพื่อการปัสสาวะ
  • อาการต่างๆอาส่งผลให้มีปัญหาทางเพศสัมพันธ์ ถ้าผู้ป่วยยังอยู่ในวัยเจริญพันธ์

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ได้แก่

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
  • ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การขมิบก้น /การขมิบช่องคลอด Kegel exercises)
  • รักษา ควบคุมโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ให้ได้เป็นอย่างดี
  • ดื่มน้ำสะอาดในแต่ละวันให้เพียงพอ วันละประมาณ 6-8 แก้ว ไม่ดื่มน้ำมากหรือน้อยเกินไปดังได้กล่าวในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรงฯ”
  • หลีกเลี่ยง เครื่องดื่มมี คาเฟอีน และแอลกอฮอล์
  • สังเกตทุกครั้งว่า อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ประเภทอาหาร/เครื่องดื่ม และให้หลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)เพื่อให้มีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่แข็งแรง ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล หงุดหงิด หรือซึมเศร้า
  • ออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ ร่วมกับควบคุมอาหารไม่ให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ด้วยจะส่งผลให้อาการโรคเลวลง รวมทั้งเกิดการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • เมื่อเวลาจะออกนอกบ้าน ให้เตรียมตัว เพื่อให้สามารถเข้าห้องน้ำได้สะดวกรวดเร็ว ทั้งนี้รวมถึงในเรื่องการแต่งกายทั้งเมื่ออยู่บ้านและเมื่อออกนอกบ้าน
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?

เมื่อมีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

  • อาการต่างๆเลวลง เช่น อาการทางการปัสสาวะเลวลง เป็นต้น
  • มีอาการที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะแสบ ขัด ขุ่น
  • มีผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่องจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ท้องเสียมาก วิงเวียนศีรษะมาก ปวดหัวมาก
  • เมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันกระเพาะปัสสาวะไวเกินได้อย่างไร?

การป้องกันภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน/ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ให้ได้เต็มร้อยเป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยยังไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนั้นปัจจัยเสี่ยงหลักคือ อายุที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ยังสามารถลดโอกาสเกิดกระเพาะปัสสาวะไวเกินและลดความรุนแรงของอาการได้ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดย

  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ ร่วมกับการควบคุมอาหาร เพื่อป้องกันโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ที่เป็นปัจจัยให้เกิดโรคสมอง, อัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง
  • เมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ”ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ที่จะช่วยให้ได้รับผลการรักษาที่ดี

บรรณานุกรม

  1. AUA guideline: Am Fam Physician. 2013 Jun 1;87(11):800-803
  2. https://www.bladderandbowel.org/bladder/bladder-conditions-and-symptoms/frequency/ [2020,Oct10]
  3. https://www.urologyhealth.org/urologic-conditions/overactive-bladder-(oab) [2020,Oct10]
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Overactive_bladder [2020,Oct10]
  5. https://emedicine.medscape.com/article/459340-overview#showall [2020,Oct10]