กระดานสุขภาพ

กินยาคุมฉุกเฉิน ทำให้อ้วนขึ้นไมค่ะ!!!
Bymi*****t

26 ธันวาคม 2556 12:45:58 #1

กินยาคุมฉุกเฉิน ทำให้อ้วนขึ้นไมค่ะ!!!  คือ ไม่อยากอ้วนแต่จำเป็นต้องกินอะค่ะ

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 49 กก. ส่วนสูง: 157ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.88 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

28 ธันวาคม 2556 06:45:46 #2

เรียน คุณ bymint,

จากคำถามของคุณ ยาคุมฉุกเฉินใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น คือเมื่อเกิดถุงยางอนามัยรั่วหรือฉีกขาด หรือ ถูกข่มขืน ไม่ควรใช้เกินเดือนละ 2 ครั้ง มิฉะนั้นอาจเกิดรอบประจำเดือนผิดปกติ (ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย) หรืออาจเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน นั้นประกอบด้วยฮอร์โมนขนาดสูง ต้องรับประทานให้ครบ 2 เม็ดต่อครั้ง โดยอาจรับประทานยาได้ 2 แบบ คือ

  1. รับประทานยาเม็ดแรก ภายใน 24-72 ชั่วโมงของการมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นอีก 12 ชั่วโมง รับประทานเพิ่มอีก 1 เม็ด
  2. รับประทานยา 2 เม็ด ภายใน 24-72 ชั่วโมงของการมีเพศสัมพันธ์ ทั้ง 2 วิธีประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดไม่แตกต่างกัน คือ ประมาณ 98% แต่วิธีแรก อาจคลื่นไส้ อาเจียนน้อยกว่า แต่วิธีที่สอง จะช่วยป้องกันการลืมรับประทานยาเม็ดที่สองได้

การรับประทานยาเพียงครั้งเดียว ไม่มีผลให้เกิดภาวะบวมน้ำ จากฮอร์โมน หรือ กระตุ้นความอยากอาหารได้ จึงไม่น่าส่งผลต่อการทำให้อ้วน ยกเว้นว่าคุณจะไปงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ แล้วเผลอรับประทานอาหารอร่อย ๆมากเกินไป จากรายงานการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มากเกินกว่า 3 ครั้ง "ตลอดชีวิต" มีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆสูงมากกว่าสตรีทั่วไปที่ไม่เคยได้รับ ฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดแบบปกติทั่วๆไป มากกว่า หลายเท่าครับ

หากสามารถวางแผนได้ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยจะปลอดภัยกว่านะครับ ได้ทั้งการคุมกำเนิด และป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย เช่น เอดส์ หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบ บีและซี หูดหงอนไก่ รวมถึงไวรัสที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกด้วย หรืออาจเลือกใช้ยาคุมกำเนิดทั่วไปที่เหมาะสมกับลักษณะฮอร์โมนเพศ และลักษณะทางกายภาพของคุณ จะดีกว่านะครับ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

 

แนะนำบทความดี ๆจากอาจารย์แพทย์กองบรรณาธิการของเรานะครับ ที่

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency contraceptive pill) โดย รศ.ดร.นพ.บัณฑิต ชุมวรฐายี