กระดานสุขภาพ

มีเลือดออกมาเกือบเดือนแล้ว....ทำไงดี
Yanu*****n

12 มิถุนายน 2556 16:04:17 #1

รบกวนคุณหมอช่วยวิเคราะห์อาการให้หน่อยนะค่ะ  ดิฉัน อายุ 30 ปี สถานภาพ สมรส แต่ยังไม่มีบุตร ไม่เคยตั้งครรภ์ ไม่เคยทำแท้ง แต่งงานมาได้ 1 ปี ก่อนหน้านี้คุมกำเนิดด้วยยาเม็ด Yasmine มาประมาณ 6 เดือน ตอนนี้หยุดยาคุมมาได้  4 เดือน ตอนนี้อยากมีบุตรมาก รอบเดือนมาทุก 28-30 วัน มาครั้งละ 3-4 วัน  ประจำเดือนครั้งสุดท้าย 1 เมษายน 2556  มีเพศสัมพันธ์ 12-16 เมษายน  2556  หลังจากนั้นประจำเดือนก็ไม่มา จนวันที่่ 12 พฤษภาคม 2556 ช่วงเช้ามีเลือดไหลออกมาเปื้อนแผ่นอนามัยแบบบางเล็กน้อย 1 แผ่น ( เป็นสีชมพูจางๆ) (แต่ไม่มีอาการปวดประจำเดือนหรือเจ็บหน้าอกใดๆ) แล้วก็หายไป ซึ่งได้ทดสอบการตั้งครรภ์ ผลเป็นลบ จนวันที่ 18 พฤษภาคม มีเลือดออกอีก เป็นสีน้ำตาลแต่ไม่มากออกมาทุกวัน ตรวจการตั้งครรภ์ ผลก็ออกมาเป็นลบอีก พอวันที่ 22 พฤษภาคม ก็มีเลือดออกมากขึ้น(คาดว่าน่าจะเป็นประจำเดือน) เปื้อนผ้าอนามัยแบบปกติ 4 แผ่น (จากปกติ 2-3 แผ่นต่อวัน) แต่ไม่มีอาการปวดท้อง เจ็บหน้าอกเหมือนทุกที   ซึ่งก้อมาเรื่อยๆจนถึงวันที่ 28-31 พฤษภาคม ก้อค่อยๆลดลงเป็นสีแดงจางลง จนวันที่ 1-2 มิถุนายน มีเลือดเป็นสีน้ำตาลออกเเปื้อนแผ่นอนามัยแบบบางเล็กน้อย ออกเป็นจุดๆๆ วันที่ 3-4 หยุด ไม่มีเลือดไหลออกมา  วันที่ 6-7 มิถุนายน มีเลือดออกมาอีกเป็นสีน้ำตาล 8-11 มิถุนายน  เลือดออกมาเป็นสีแดงเปื้อนผ้าอนามัยแผ่นเล็ก 2-3 แผ่นต่อวัน วันนี้วันที่ 12 มิถุนายน มีเลือดออกมากขึ้น เปื้อนผ้าอนามัย 1 แผ่นเป็นสีแดงสด ไม่มีอาการปวดท้อง (ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา รู้สึกตุ๊บ ตุ๊บที่ท้องน้อยด้านขวาเล็กน้อย) อยากทราบว่าจะเป็นอะไรมากมั๊ยค่ะ และจะต้องทำอย่างไรบ้าง คือไม่อยากตรวจภายใน แบบว่ากลัวอ่ะคะ ถ้าตรวจอัลตร้าซาวน์อย่างเดียวจะได้มั๊ย  รบกวนช่วยให้คำแนะนำหนอยค่ะ  ขอบคุณค่ะ

อายุ: 30 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 53 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.70 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

13 มิถุนายน 2556 17:35:10 #2

จากประวัตินั้น หากตรวจการตั้งครรภ์แล้ว เป็นผลลบ ก็ถือว่า ไม่ตั้งครรภ์ครับ ส่วนเลือดที่ออกมาผิดปกติทั้งหมดนั้น เป็นลักษณะของเลือดกะปริดกะปรอยครับ ซึ่ง มีสาเหตุได้หลายๆอย่าง เช่น

  1. ปัจจัยด้านฮอร์โมน ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เลือดออกมาผิดปกติในลักษณะของกะปริดกะปรอย ซึ่งมักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ที่มีผลต่อการตกของไข่ จึงทำให้การสร้างฮอร์โมนผิดปกติไป เช่น ความเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก ไม่เป็นเวลา น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด เป็นต้นครับ ซ
  2. ปัจจัยด้านกายภาพ เช่น มีเนื่องอก หรือ ต่ิงเนื้อในโพรงมดลูก (Endometrial polyp) ครับ

ซึ่งการที่จะหาสาเหตุนั้น ต้องมีการซักประวัติที่ละเอียดขึ้น ตรวจร่างกาย รวมถึงตรวจภายใน หากไม่สามารถบอกสาเหตุได้ อาจต้องมีการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อเติม ซึ่งอาจต้องตรวจทางช่องคลอดหากการตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องไม่ชัดเจนครับ

Yanu*****n

20 มิถุนายน 2556 12:53:16 #3

ได้ไปอัลตร้าซาวน์มาแล้ว ไม่พบความผิดปกติใดๆ ผนังมดลูกก็ไม่ได้หนา คุณหมอเลยให้ Primalute N 1*3 ,Diclofenac  1*3 และ Ferrous 1*3 มาทาน  ทานได้ 2 วัน ประจำเดือนก้อหยุดแล้วค่ะ (หยุดวันที่ 19 มิย.) อยากทราบว่าจะต้องทานยากี่วันค่ะ หมอให้ยามาอย่างละ 20 เม็ด  พอดีว่าอยากมีลูกมาก จะต้องมีเพศสัมพันธ์ช่วงไหน จึงจะมีโอกาสท้องมากที่สุดค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

21 มิถุนายน 2556 16:35:38 #4

หมอขออนุญาตตอบในลักษณะความคิดเห็นเพิ่มเติมนะครับ

หากตรวจหาสาเหตุของเลือดที่ออกผิดปกติจากสาเหตุที่หมอกล่าวไปแล้ว ไม่พบสาเหตุที่เหลือก็จะเป็นสาเหตุจากฮอร์โมนผิดปกติจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งการให้ยา primalute N ก็ถือว่าเป็นการรักษา ซึ่งยาจะช่วยปรับรอบประจำเดือน โดยปกติแล้วจะให้ยานี้ประมาณ 7 - 12 วันแล้วแต่สาเหตุ ระยะเวลาที่ประจำเดือนผิดปกติครับ
ซึ่งหลังจากได้ยาไปประมาณ 3 - 5 วัน จะมีเลือดออกมาเป็นลักษณะคล้ายประจำเดือนครับ

ส่วนในเรื่องของการนับวันตกไข่นั้น จะใช้ได้ผลและแม่นยำหรือไม่ ขึ้นกับความสม่ำเสมอของรอบประจำเดือนครับ
หากเป็นคนที่รอบประจำเดือนมาสม่ำเสมอ เป็นรอบดี ค่อนข้างตรงกับวันที่คาดว่าจะมา ก็นะใช้วิธีนี้ได้ผลครับ
การนับจะทำโดยคำนวณระยะห่างระหว่างรอบปะจำเดือนก่อน ซึ่งวันที่ตกไข่จะนับย้อนหลัง จากวันที่คาดว่า ประจำเดือนจะมาย้อนไป 14 วัน เช่น หากวันที่คาดว่า ประจำเดือนรอบต่อไปจะมาประมาณ วันที่ 1 เดือนหน้า วันที่ตกไข่จะประมาณช่วงวันที่ 14 ของเดือนหน้าครับ และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้าวันนี้ 2 วัน และ หลังวันนี้ 2 วัน จะเป็นวันที่มีโอกาสสูงในการที่จะตั้งครรภ์ครับ

ในเรื่องของการรักษาและคำแนะนำ หมอคิดว่า คุณหมอท่านที่รักษาจะมีข้อมูลในการรักษาได้ดีเช่นกันครับ สิ่งที่หมอกล่าวไปนั้น เป็นเพียงข้อคิดเห็นและแนะนำนะครับ

Yanu*****n

22 มิถุนายน 2556 16:19:44 #5

ปกติ ถ้าทาน primalute N แล้วจะมีปรำเดือนหลังทาน 3-5 วัน แต่ทำไมของดิ ฉันพอทานแล้วเลือดหยุดเลย มันจะผิดปกติมั้๊ยค่ะ 

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

24 มิถุนายน 2556 02:45:30 #6

หมอต้องขอโทษด้วยครับ หมอตอบกระชับเกินไป ทำให้เข้าใจผิด

คือ ในช่วงระหว่างให้ยานั้น ประจำเดือนจะต้องไม่มาครับ เพราะยาจะไปออกฤทธิ์ เพื่อเปลี่ยนเยื่อบุโพรงมดลูกให้เข้าสู่ระยะเตรียมหลุดลอกตัวครับ เมื่อหยุดยาไปประมาณ 3-5 วัน ไม่เกิน 7 วัน จะมีเลือดประจำเดือนออกมาครับ

Yanu*****n

4 กรกฎาคม 2556 09:13:23 #7

ขอสอบถามต่อนะค่ะ

       เดือนนี้ประจำเดือนมาวันที่ 1 กค. 56 ซึ่งมามากกว่าปกติ มีสีแดงสด มีกลิ่นคาวเลือด เป็นก้อน มีอาการปวดท้อง ปวดเอวมาก(อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน)พร้อมอาการปวดท้อง  คือ ปกติจะมาเพียง 3-4 วัน ไม่เกินนั้น คืนแรกจะมาน้อย (1แผ่นต่อคืนแบบกลางคืน สีสีแดงคล้ำออกน้ำตาล)วันที่สองจะมามาก (2-3 แผ่นต่อวัน)พอวันที่ 3 เริ่มลดลง (2แผ่นต่อวัน)วันที่ 4 (ใช้แผ่นเล็ก1 แผ่น เปื้อนเล็กน้อย) แต่การมากในเดือนนี้ คืนแรกก็มามากเป็นสีแดงสด ใช้ผ้าอนามัยแบบกลางคืน ยาว 35 ซม. จำนวน 4 แผ่น วันที่สอง ก็ยังมากมาก มีสีแดงสด มีเลือดเป็นก้อนขนาดยาว 1นิ้ว*1ซม.(5 แผ่น) วันที่สาม มีสีแดงสด มีก้อนเลือดปน (4 แผ่น กลางคืน 2 แผ่น)วันนี้เป็นวันที่ 4 มีแดงสด ยังมีก้อนเลือดปน (4 แผ่น) ซึ่งตามปกติจะต้องหมดแล้ว แต่นี่ยังมามากอยู่ และรอบนี้มีกลิ่นคาวเลือดมาก ปวดท้อง ปวดหลังมาก อยากทราบว่าผิดปกติมั้ยค่ะ หรือเป็นผลจากการทาน Primalute N จากเดือนที่แล้ว และต้องรอถึงกี่วันถ้าประจำเดือนไม่หมดจะต้องไปพบแพทย์ค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

5 กรกฎาคม 2556 02:47:02 #8

จากลักษณะเลือดประจำเดือนที่ค่อนข้างมากนั้น แน่นอนครับ เป็นผลจากการทานยา Primolut N ครับ ซึ่งจะเป็นอาการเปลี่ยนเยื่อบุโพรงมดลูกให้หลุดลอกตัวออกมาครับ อาจมีเลือดออกมากกว่ารอบปกติได้ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ ปวดท้อง ปวดหลัง หรือ อาการก่อนมีประจำเดือนต่างๆ มากกว่ารอบปกติได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรจะหยุดภายใน 7 วัน และ ไม่ควรมากะปริดกะปรอยต่อเนื่อง และ ไม่ควรมีอาการวิงเวียน หน้ามืด คล้ายเป็นลมง่าย นะครับ

ดังนั้น หมอแนะนำหากเลือดที่มากจนเหนื่อย อ่อนเพลีย มีนานมากกว่า 7 วัน หรือ กะปริดกะปรอยมาก ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์นะครับ