กระดานสุขภาพ

ประจำเดือนมาน้อย
Anonymous

1 มิถุนายน 2556 19:56:51 #1

ปกติเป็นคนที่ประจำเดือนมาไม่ปกติค่ะ เคยไม่มาบ่อยจนไม่มาติดกัน 5 เดือน ตอนแระมาณ 4-5 ปีก่อน จึงไปตรวจแล้วผลว่าเพราะมีฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าปกติ น้ำตาลในเลือกก็ต่ำกว่าเกณฑ์นิดหน่อย และด้วยน้ำหนักตัวมากด้วย หมอเคยจ่ายยาตัวที่ทาน แบบติดต่อกัน 10 วันมาให้ (แต่ก็จำชื่อไม่ได้แล้ว คิดว่าเป็นตัวเร่งฮอร์โมนหญิงค่ะ) หมอบอกไว้ว่าทานมากก็ไม่ดี จำไม่ได้ว่าไม่ดียังไง เลยไม่ค่อยได้ทาน จ่ายยามาให้ 5 แผง ก็นานๆ ทานที ตอนนี้ที่เหลือก็หมดอายุไปแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าทิ้งไปหรือยังเพราะย้ายที่อยู่บ่อยค่ะ ตอนช่วงที่ใช้และหลังใช้จะมีประจำเดือนมาปกติดี มาค่อนข้างเยอะ 4-7 วัน แต่ช่วงหลังๆ มานี้ประจำเดือนมาแบบน้อยถึงบางทีก็ไม่มาเลย โดยเฉพาะ 4 เดือนมานี้ มากน้อยมาก เดือนนี้มาแบบเป็นลิ่มเลือดอยู่ด้านใน คือไม่ค่อยออกมาข้างนอก เคยฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกแบบป้องกันหูดหงอนไก่ด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ครบ 3 เข็มแล้วเมื่อเดือนมีนาคม ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ค่ะ 

อยากถามว่ามีโอกาสเป็นอะไรไหมคะ เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรหรือป่าว ควรไปตรวจอีกทีไหม หรือหายาเร่งฮอร์โมนแบบเดิมให้ประจำเดือนมาปกติดี ถ้าใช้ยาฮอร์โมนเป็นตัวไหนดีคะ เพราะจำยาตัวเก่าไม่ได้แล้ว

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

อายุ: 22 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 88 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 31.18 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

3 มิถุนายน 2556 09:00:54 #2

คุณน่าจะมีกลุ่มอาการถุงน้ำที่รังไข่หรือ PCOS (polycystic ovarian syndrome) เกิดจากภาวะไข่ไม่ตกตามปกติ ทำให้รังไข่มีลักษณะคล้ายพวงองุ่น มีถุงน้ำอยู่ภายในรังไข่มากมายเพราะไข่ไม่ตก ผิวรังไข่จะหนากว่าปกติทำให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจนสูง คุณจะมีอาการสิวมาก หน้ามันและขนดกร่วมด้วย มักพบในสตรีที่มีน้ำหนักตัวมาก ประจำเดือนจะไม่ค่อยมา นานๆมาครั้งหนึ่ง หรือมาก็จะมีปริมาณน้อยมาก และจะสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากเมื่อแต่งงานแล้ว การทีประจำเดือนไม่มานานมากเกินไป โดยเฉพาะเกิน 3 เดือน คุณจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อให้ประจำเดือนมา ซึ่งเป็นการรักษาปลายทาง ยาที่คุณเคยรับประทานน่าจะเป็นฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนซึ่งทานก่อนนอน 10 คืนต่อเนื่อง ทั้งนี้อาจจะรักษาโดยการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมก็ได้ จะทำให้มีประจำเดือนมาทุกเดือนในช่วงที่หยุดยา 7 วันถ้าทานยาแบบ 21 เม็ด หรือในช่วงยาหลอก 7 เม็ดหลัง ถ้าทานยาแบบ 28 เม็ด ส่วนการรักษาต้นทางจะเป็นการรักษาโดยใช้ยากระตุ้นไข่ตก มักจะใช้ในกรณีที่เราต้องการมีบุตร จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ คุณควรจะต้องลดน้ำหนักตัวด้วยเพราะจะเป็นการรักษาที่ดีวิธีหนึ่งและทำให้ประจำเดือนมาได้ตามปกติโดยไม่ต้อใช้ฮอร์โมน และควรไปรับการตรวจอัลตราซาวด์เพือ่ประเมินอวัยวะในอุ้งเชิงกรานว่ามีความผิดปกติหรือไม่ร่วมด้วย

Anonymous

3 มิถุนายน 2556 17:57:51 #3

สอบถามอีกนิดค่ะ ยาฮอร์โมนโปรเจสโตรเจน เวลาไปซื้อกับเภสัชจะต้องบอกเป็นอะไรพิเศษหรือไม่ มีข้อควรระวังหรือป่าวคะ หรือถ้าทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมอย่างเดียวเลยได้ไหมคะ สามารถซื้อทานได้เองเลยหรือป่าว ถ้าทานแล้วอาการดีขึ้นจะหยุดทานเป็นรอบๆ ไป หรือควรจะทานต่อเนื่องนานแค่ไหนคะ พอดีไม่เคยซื้อทานเองเลยค่ะ (เรื่องตัวยาสามารถปรึกษาเภสัชได้เลยหรือป่าวคะ เพราะเข้าใจว่าน่าจะมีหลายตัว หลายยี่ห้อ)

แล้วกรณีที่มีประจำเดือนมาน้อยมาก อาจจะแค่ 1-3 วันแล้วเป็นลิ่มเลือด จะนับว่าเป็นรอบเดือนได้หรือไม่ หรือบางทีก็จะมีรอบเดือนมาหลังจากหยุดจากวันที่มีลิ่มเลือดมาเป็นอาทิตย์ก็มีบ้าง แต่ก็จะมาแค่ไม่กี่วัน แล้วจะนับแบบไหนเป็นรอบเดือนดีคะ หรือนับต่อกันไปได้เลย

อีกคำถามคือ อาการถุงน้ำที่รังไข่ เท่าที่อ่านมาคือ ไม่ได้ร้ายแรงมาก ไม่มีอันตรายนอกจากมีบุตรยากกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนภายหลังใช่หรือป่าวคะ คือปกติผู้หญิงทุกคนจะมีถุงน้ำที่รังไข่อยู่แล้ว แต่กลุ่ม PCOS จะมีมากกว่าปกติแบบนี้หรือคะ

ขอบคุณที่ช่วยตอบคำถามค่ะ

ได้อ่านบทความ "พีซีโอเอส หรือ พีโอเอส: กลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS หรือ POS : Polycystic ovarian syndrome)" แล้ว ก็มีจุดที่เข้าใจบ้างและไม่เข้าใจบ้าง แต่อย่างไรก็ขอบคุณมากค่ะ อย่างน้อยก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

4 มิถุนายน 2556 15:10:51 #4

สามารถแจ้งเภสัชกรได้เลยว่าต้องการยากลุ่มโปรเจสโตรเจน ซึ่งอาจจะเป็น primolut-N หรือ provera หรืออาจจะทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมไปเลยก็ได้ สามารถซื้อทานเองได้ และปรึกษาเภสัชกรได้ อย่าลืมทานยาเพราะอาจจะทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้เลือดที่ออกเพียง 1-3 วันแม้จะมาน้อยแต่ถ้ามาตรงกันทุกเดือนก็ถือเป็นประจำเดือนค่ะ ส่วน PCOS หรือ POS หรือ PCOD ก็คือเรื่องเดียวกัน ไม่มีอันตรายตามที่คุณศึกษามาค่ะ