กระดานสุขภาพ

สงสัยว่าจะเป็นหูดหงอนไก่ค่ะ
Anonymous

31 กรกฎาคม 2561 17:55:14 #1

มีเพศสัมพันธ์เมื่อวันศุกร์ แล้วมีอาการแสบคันเลยมาส่องดูแล้วเจอ ถ้าจับหรือไปแตะโดนจะเจ็บค่ะ เป็นหูดหงอนไก่ใช่มั้ยคะ ถ้าใช่ ในกรณีแบบนี้สามารถรักษาได้ยังไงบ้างคะ เป็นอันตรายมากมั้ยคะ
อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 40 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.78 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Hiro*****a

31 กรกฎาคม 2561 18:00:52 #2

.
Anonymous

31 กรกฎาคม 2561 18:03:07 #3

มีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนเดียวในระยะ 1 ปีค่ะ มีตกขาวมีกลิ่น คัน ไม่ทราบแน่ชัดว่าแฟนมีเชื้อด้วยรึเปล่า
Anonymous

31 กรกฎาคม 2561 18:32:57 #4

มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อแล้วจับไปก็จะรู้สึกได้ว่ามันเป็นตุ่มๆค่ะ
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

1 สิงหาคม 2561 06:52:06 #5

ลักษณะติ่งเนื้อที่พบ อยู่กันเป็นกลุ่ม และลักษณะเหมือนหงอนไก่ ดังนั้น จึงอาจจะเป็นหูดหงอนไก่ได้ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส hpv หรือ Human papilloma virus ซึ่งไวรัสกลุ่มนี้จะทำให้เกิดรอยโรคมีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำหรือหงอนไก่อยู่กันเป็นกลุ่ม และอาจจะกระจายลุกลามมากขึ้นถ้าไม่ได้ทำการรักษา ควรไปสอบถามแฟนว่ามีรอยโรคดังกล่าวร่วมด้วยหรือไม่ เพราะจะต้องรักษาไปควบคู่กัน การรักษานั้นจะต้องใช้ยาต้านเชื้อไวรัส โดยแต้มยาซึ่งเป็นกรดอะซิติก บริเวณที่เป็นหูดจะทำให้หูดหลุดออกมาได้ หรืออาจจะเอายากลุ่ม immiquimod ไปทาเองที่บ้าน ส่วนอาการตกขาวมีกลิ่นคันนั้นน่าจะเกิดจากการติดเชื้อราซึ่งมีสาเหตุมาจากความอับชื้น ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อราบริเวณช่องคลอดได้และทำให้เกิดอาการตกขาวผิดปกติลักษณะเหมือนก้อนนมบูดไหลออกมาทางช่องคลอด และทำให้มีอาการคันร่วมด้วย การรักษาก็จะต้องใช้ยาต้านเชื้อรากลุ่มโคลไทยมาร์โซลซึ่งมีทั้งชนิดสอดและทาภายนอกเพื่อบรรเทาอาการคัน โดยสอดก่อนนอนคืนละ 1 เม็ดเป็นเวลานาน 6 คืน จะทำให้การติดเชื้อรานั้นดีขึ้น การรักษาที่สำคัญที่สุดนั้นจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงความอับชื้นโดยการใช้ผ้าอนามัยแผ่นบางและเปลี่ยนทิ้งให้บ่อยทุก 2-3 ชั่วโมงถ้าไม่มีความอับชื้นการติดเชื้อราก็จะดีขึ้นได้เช่นกันค่ะ

Anonymous

1 สิงหาคม 2561 08:02:35 #6

สามารถซื้อ Aldara มาทาเองได้ที่บริเวณนี้ใช่มั้ยคะ
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

2 สิงหาคม 2561 09:34:13 #7

ได้ค่ะ แต่ควรไปพบแพทย์ก่อนเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องก่อนการรักษาค่ะ