กระดานสุขภาพ

ประจำเดือนหรือผลข้างเคียง
Anonymous

3 กรกฎาคม 2561 09:05:18 #1

ทานยาคุมฉุกเฉินเมื่อวันที่16ทานอย่างถูกต้อง หลังจากนั้นไม่มีผลข้างเคียงเลย จนมาวันที่30ต้องมีประจำเดือนแต่ไม่มา วันที่2 มีเลือดออกมานิดเดียวแล้วหยุด วันนี้ก็ยังไม่มีเลือด อยากทราบว่านี่คือประจำเดือนหรือผลข้างเคียงคะ
อายุ: 23 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 46 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.97 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

4 กรกฎาคม 2561 15:42:33 #2

ตอนนี้ก็ไม่มีเลือดออกมาอีกเลยครับ กังวลว่าจะท้องไหม
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

5 กรกฎาคม 2561 05:26:26 #3

ยาคุมฉุกเฉินจะประกอบไปด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนในขนาดสูง หลังรับประทานยา ยาจะไปออกฤทธิ์ที่บริเวณผนังเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้มีความไม่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อน ทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเหนียวข้นจนตัวอสุจิผ่านเข้าไปไม่ได้ และยังทำให้ท่อนำไข่มีการเคลื่อนไหวตัวที่ช้าลงด้วย ดังนั้น หลังทานยาจึงอาจจะทำให้มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดได้ และรอบเดือนถัดไปมีความคลาดเคลื่อนออกไปได้ การที่คุณไม่มีเลือดออกมาหลังจากที่ทานยาคุมฉุกเฉินนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ บางรายก็อาจจะไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าวค่ะถ้าคุณได้ทานยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธี ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ค่ะ และก็ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งเกินไป หรือเกิน 1 ถึง 2 ครั้งต่อเดือน เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องของการตั้งครรภ์ ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ ถ้ามีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งในเดือนหนึ่ง หมอแนะนำว่าคุณควรทานยาคุมชนิดแผงที่ประกอบด้วยเม็ดยา 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด จะดีที่สุด แต่จะต้องมีวินัยในการทานยาคือทานในเวลาเดียวของทุกวันบวกลบไม่เกิน 1 ชั่วโมง ยาจึงจะมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

7 กรกฎาคม 2561 20:30:31 #4

เรียน คุณ 442af,

ตอบได้ค่อนข้างยากนะครับ โดยทั่วไปหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินประมาณ 7-10 วัน จะมีเลือดคล้ายประจำเดือนออกมา ส่วนประจำเดือนก็จะล่าช้าออกไปหลังจากนั้นอีก 7-10 วัน แต่หากประจำเดือนมาล่าช้ากว่ากำหนดเดิมเกิน 3 สัปดาห์ อาจใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์เพื่อทดสอบว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่

ขอแนะนำเพิ่มเติม หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การใช้ถุงยางอนามัยจะเป็นวิธีที่สะดวกและเหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ และยังมีฮอร์โมนค่อนข้างสูง คือ 1,500 ไม่โครกรัม ในขณะที่ยาคุมกำเนิดปกติมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ และมีฮอร์โมนในแต่ละเม็ดประมาณ 50-75 ไมโครกรัม

การใช้ถุงยางอนามัยนอกจากช่วยในการคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบชนิดบี / ซี หรือหากโชคร้ายสุดคือไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด และยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - human Papillomavirus) ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่ มะเร็งองคชาติในเพศชายอีกด้วย

กรณีมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สามารถสอบถามได้จากแพทย์หรือเภสัชกรประจำร้านยาใกล้บ้านได้ทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจต้องมีการสอบถามข้อมูลอื่น ๆเพิ่มเติม หรือในบางครั้งอาจช้าเกินไป ไม่ทันการ เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อสุขภาพจนถึงแก่ชีวิตได้

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

  • การคุมกำเนิด (Contraception)
  • แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
  • สูตินรีแพทย์
  • ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
  • แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
  • สูตินรีแพทย์
  • ยาลดประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด (Common medications that reduce efficacy of birth control medications)
  • ภก. กรชัย ฉันทจิรธรรม