กระดานสุขภาพ

คันและแสบที่อวัยวะเพศ
Anonymous

9 เมษายน 2561 16:16:07 #1

มีอาการคันที่อวัยวะเพศ แต่พบเภสัชเบื้องต้นเพื่อรักษาก็เริ่มหายดี แต่พอมีอะไรกับแฟน ก็แสบบริเวณปากช่องคลอด แสบมาตลอด3อาทิตย์แล้วไม่หายเลยค่ะ อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้เข้าอาทิตย์ที่3ก็ไปหาเภสัช เขาให้ยาแก้บวมแบะแก้อักเสบมา อาการก็ดีขึ้น(แต่เกรงว่าถ้ามีอะไรสอดใส่อีกก็จะเจ็บแน่ๆ) อาการคันยังกลับมาอีกด้วยค่ะ ปล.ใช้แลคตาซิททำความสะอาดอยู่หลายปีแล้ว เกี่ยวรึป่าวคะ? รบกวนตอบหน่อยนะค้าคุณหมอ
อายุ: 19 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 42 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.48 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Vipa*****9

10 เมษายน 2561 16:25:38 #2

ผู้ป่วยควรให้ข้อมูลเพิ่มเติม

- ตกขาวสีอะไร  ลักษณะอย่างไร  

- คันแบบเจ็บบวมๆหรือไม่ หรือ คันเฉยๆ

- ผิวหนังของแคมด้านในมีรอยแดงที่ผิดปกติหรือไม่

 

สิ่งที่อาจมองข้าม/คาดไม่ถึง : อาจแพ้น้ำยาทำความสะอาด  

 

หากได้รับคำตอบช้า / ต้องการรักษาเบื้องต้นด้วยตนเอง 

ทักมาทางเมล์ โดยไม่ต้องระบุตัวตนได้ค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ

vipaadaa99@gmail.com

Vipa*****9

10 เมษายน 2561 16:27:18 #3

(เพิ่มเติม)

สิ่งที่อาจมองข้าม/คาดไม่ถึง :

- อาจแพ้น้ำยาทำความสะอาด

 

- หากมีเพศสัมพันธ์ สาเหตุอาจมาจาก ความสะอาดของฝ่ายชาย

 

 

Anonymous

13 เมษายน 2561 15:10:14 #4

เพิ่มเติมนะคะ -สีของตกขาวส่วนมากก็ขาวขุ่นปกติค่ะ แต่บางสันที่มีอาการคันมาก ก็จะเป็นสีอมเขียวนิดหน่อย (แต่เห็นได้ชัดคือมีตกขาวมากบ่อยและเยอะกว่าปกติมากค่ะช่วงที่เป็น) -จากที่สังเกตบริเวณด้านในช่องคลอด ก็จะมีสีแดงกว่าปกติค่ะ -อาการคันเป็นแบบ คันแล้วเจ็บนิดหน่อยด้วยค่ะ ปล.(แต่แฟนไม่มีอาการอะไรเลยนะคะ จึงไม่ได้คิดว่าเป็นโรคติดต่อ)
Vipa*****9

13 เมษายน 2561 18:56:38 #5

ความน่าจะเป็นประมาณ 90% = พยาธิในช่องคลอด(เชื้อปรสิต)  ค่ะ

- ในเพศชายถ้าติดโรคแล้ว ก็ อาจไม่มีอาการ / มีเล็กน้อย ได้

 

 

การรักษา ด้วยตนเอง = ทำได้  โอกาสหาย = ปานกลาง-ค่อนข้างสูง 

ยา = มีขายตามร้านยา ชื่อทางการแพทย์  Metronidazole (เมทโทรนิเดโซล)  

 

ข้อควรระวัง / สิ่งที่อาจคาดไม่ถึง : 

1.การกลับมาเป็นซ้ำ เพราะอาจมีโรคทั้งสองฝ่าย แต่รักษาแค่ฝ่ายหญิง 

 

2. ระวัง! ยาหมดอายุ (กรณีซื้อยาใช้เอง)  เนื่องจากไม่ใช่ยาที่ขายออกง่ายเหมือนยาสอดเชื้อรา

ยาอาจจะเก่าเก็บจนหมดอายุได้ 

 

 

 

 

 

Vipa*****9

13 เมษายน 2561 19:05:14 #6

เนื่องจากฐานข้อมูล(ที่ดิฉันใช้อยู่) มีตัวอย่างผู้เป็นโรคนี้อยู่จำนวนไม่มากนัก   ความแม่นยำจึงอาจจะคลาดเคลื่อนได้

แต่อย่างไร ตัวอาการก็มีความสัมพันธ์กับโรคนี้อยู่มากค่ะ

 

และหากดีขึ้นบ้าง เฉพาะบางอาการ เช่น อาการแสบหาย แต่ยังคันอยู่   ตกขาวหายสีเขียว แต่ยังมีลักษณะผิดปกติอยู่

เป็นไปได้ว่า อาจมีโรคหลายอย่างพร้อมๆกัน เช่น เชื้อรา  ก็ต้องค่อยๆสังเกตไปเรื่อยๆแล้วมาถามซ้ำค่ะ 

 

แต่หากไปพบแพทย์โดยตรงจะทำให้การรักษาแม่นยำกว่ามาก และ อาจใช้เวลารักษาที่สั้นกว่าได้

 

ขอให้หายไวไวค่ะ   ขอบคุณค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

26 เมษายน 2561 07:49:26 #7

ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุอาการบวมแดง คัน อักเสบบริเวณอวัยวะเพศนั้น มีสาเหตุหลักๆ 2 ประการ ครับ อย่างแรก คือมีการติดเชื้อในช่องคลอดก่อนแล้วทำให้อวัยวะเพศภายนอกมีอาการอักเสบไปด้วย เช่น เชื้อราครับ ซึ่งจะมีตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น อาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ งดเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ หลังเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำก็ควรเช็ดด้วยผ้าสะดาดให้แห้ง ใช้ชุดชั้นในที่บางไม่อับชื้นง่าย อาจพิจารณาเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่เลยครับ ประการที่สอง คือ มีการแพ้สัมผัสจากสารเคมีต่างๆภายนอกครับ เช่น ผงซักฝอก ครีม สเปรย์ หรือ ชุดชั้นในต่างๆครับ ซึ่งอาการจะไม่มีตกขาว แต่จะมีเพียงอวัยวะเพศภายนอกบวมแดง คันเป็นหลักครับ การรักษาหลักคือใช้ยาทาในกลุ่มสเตียรอยด์ครับ อย่างไรก็ตาม หมอแนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์ก่อนนะครับ เนื่องจากจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อน การใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ไปทาเชื้อรานั้น อาจทำให้อาการแย่ลงไปอีกนะครับ