กระดานสุขภาพ

เป็นตกขาวสีเขียว
Anonymous

1 มกราคม 2561 18:26:45 #1

เริ่มจากกินยาคุมยี่ห้อyazในวันที่ประจำเดือนมาวันแรกค่ะ กินแผงแรก จากนั้นได้3วันประจำเดือนก็มากระปริกระปรอย แต่ก็ไม่หมดมีเลือดออกมาเป็นลิ่มบ้างแล้วเกิดความรู้สึกอั้นๆไม่สบายตัวค่ะพยายามดื่มน้ำอุ่นก็ไม่ดีขึ้น แล้วประมาณวันที่4ที่มีประจำเดือนก็มีเพศสัมพันธ์กับแฟนค่ะ จากนั้นอีกวันก็รู้สึกขัดๆเจ็บๆเวลาปัสสาวะ ช่วงที่ผ่านมาก็จะมีเลือดติดที่กางเกงในวันละหน่อยค่ะจนมาวันที่12หลังจากทานยาคุมก็มีเพศสัมพันธ์กับแฟนอีกครั้งแต่ครั้งนี้มีตกขาวเป็นสีเขียว บางทีไหลเป็นน้ำๆติดกางเกงใน แล้วแฟนก็บอกว่าเจ็บอวัยวะเพศยิ่งตอนแข็งตัวกับปัสสาวะจะเจ็บมากเมื่อเช้าดูกางเกงในแฟนมีคราบเขียวๆติดที่กางเกงในแฟนค่ะ คืออาการแบบนี้เป็นอะไรหรอค่ะ แต่ช่วงหลังจากมีเพศสัมพันธ์หนูชอบไม่ไปล้าง หลายครั้งหลังจากมีเพศสัมพันธ์กับแฟน ก็จะเกิดตกขาวเป็นก้อนคันแล้วก็จะหายไปเอง จะเกี่ยวกับที่ทำให้ติดเชื้อมั้ยค่ะแล้วเกี่ยวกับทานยาคุมแล้วสกปรกเลยติดเชื้อมั้ยค่ะ ตอนนี้เครียดมากค่ะ
อายุ: 30 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.09 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

1 มกราคม 2561 18:28:06 #2

ลืมแจ้งค่ะ ตอนนี้กินยาคุมมา14วันเลยตอนปัสสาวะก็ยังมีเลือดหยดค่ะ
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

14 มกราคม 2561 09:31:19 #3

เรื่องทานยาคุมกำเนิดนั้น ยาคุมกำเนิดตัวนี้จะมี 28 เม็ด ซึ่ง 24 เม็ดแรก จะเป็นตัวยาฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ครับ ส่วนอีก 4 เม็ดจะไม่มีตัวยา ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีประจำเดือนครับ ส่วนเรื่องประจำเดือนที่ออกกะปริดกะปรอยนั้น เนื่องจากยาคุมกำเนิดนี้เป็นแบบฮอร์โมนต่ำ ซึ่งมีข้อดีทำให้อาการคลื่นไส้ เวียนศรีษะน้อยลง แต่อาจทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วง 2-3 รอบประจำเดือนครับ แต่หากมีมากและออกกะปริดกะปรอยทั้งเดือน ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นๆ หรือ เปลี่ยนยาคุมกำเนิดเป็นแบบอื่นครับ ส่วนเรื่องอาการปัสสาวะแสบขัดหลังมีเพศสัมพันธ์นั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะครับ ซึ่งอาจเกิดได้หากช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ที่อาจมีการถูหรือสัมผัสบริเวณท่อทางเดินปัสสาวะหรือมีอักเสบบริเวณช่องคลอดอยู่แล้ง ดังนั้น การล้างมือ และ ทำความสะอาดอวัยวะเพศทั้งผู้ชายและผู้หญิงก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดอาการนี้ได้ สุดท้าย หากอาการนี้ยังมีอยู่หรือเป็นบ่อยๆ อาจทำให้มีการติดเชื้อที่ท่อและกรวยไตได้ครับ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจปัสสาวะและรักษาให้ถูกต้องครับ

ในเรื่องของอาการตกขาวที่มากขึ้นนั้น ปกติแล้ว ในช่วงหลังกลางรอบเดือนจนถึงก่อนจะมีประจำเดือนรอบถัดไป หรือหลัง มีเพศสัมพันธ์อาจมีสารคัดหลั่งที่มากขึ้นได้นะครับ หากไม่มีอาการผิดปกติใด เช่น ตกขาวสีเขียวหรือเหลือง กลิ่นเหม็น หรือปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลครับ สามารถสังเกตอาการไปได้ก่อนครับ ส่วนหากตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ งดเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ