กระดานสุขภาพ

ยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว
Anonymous

17 พฤศจิกายน 2560 03:30:26 #1

ยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียวแตกต่างจากยาคุมฉุกเฉินแบบสองเม็ดมั้ยค่ะแล้วระหว่างสองอันนี้มีประสิทธิภาพแตกต่างกันหรือเปล่าค่ะแล้วแบบไหนดีกว่ากันค่ะ
อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 41 กก. ส่วนสูง: 152ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.75 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

19 พฤศจิกายน 2560 15:55:36 #2

เรียน คุณcc416,

ก่อนตอบคำถามของคุณ ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉินนะครับ ในทางการแพทย์จะใช้ก็ต่อเมื่อไม่สามารถวางแผนการคุมกำเนิดได้ตามปกติ เช่น เมื่อถูกข่มขืน หรือเมื่อเกิดถุงยางอนามัย ฉีก ขาด รั่ว ซึม*เท่านั้น ไม่ใช้แทนการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนค่อนข้างสูง คือ 1,500 ไมโครกรัม เทียบกับชนิดปกติที่มีฮอร์โมนเพียง 50-75 ไมโครกรัม และยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง คือ 8-15 % เทียบกับชนิดปกติที่อัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์มีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ (หากรับประทานยาอย่างถูกต้อง)

กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว ลดโอกาสที่ตัวอสุจิจะไปพบกับไข่

2. ทำให้ท่อนำไข่ลดการบีบตัวลง หรือทำให้บีบตัวน้อยลง ลดโอกาสที่ไข่จะมาพบกับตัวอสุจิ

3. ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกบางลง ลดโอกาสที่ตัวอ่อนจะมาฝังตัวและเจริญต่อไปได้ (หากมีการผสมของไข่กับตัวอสุจิ)

วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้อง ควรรับประทานยาหลังมีเพศสัมพันธ์ไม่เกิน 48 ชั่วโมง เนื่องจากหากยิ่งทิ้งเวลานานก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์

1. รับประทานยา 1 เม็ด (ความแรงยาต่อเม็ด คือ 0.75 กรัม หรือ 750 ไมโครกรัม) ทันที จากนั้นอีก 12 ชั่วโมง รับประทานยาเม็ดที่ 2

ข้อดี คือ อาการไม่พึงประสงค์ด้านเวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียนน้อยกว่าวิธีที่ 2 และหากมีเพศสัมพันธ์อีกก่อนรับ

ประทานยาเม็ดที่ 2 ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มอีก

ข้อเสีย คือมักลืมรับประทานยาเม็ดที่สอง หรือรับประทานยาล่าช้าเกินกว่า 12 ชั่วโมง ทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์

2. รับประทานยาพร้อมกัน 2 เม็ดทันที (เพื่อให้ได้ตัวยา 1,500 ไมโครกรัม)

ข้อดี คือ ระดับยาสูงขึ้นทันที เพื่อให้ได้ระดับยาในเลือดที่ต้องการ และไม่ต้องกังวลเรื่องลืมรับประทานยา

ข้อเสีย คือ อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด สูงกว่าวิธีแรก

อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา - เวียนศีรษะ มึนงง คัดตึงเต้านม คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด ประจำเดือนผิดปกติ (มาล่าช้า หรือไม่มาตามปกติ) เลือดออกกะปริบกะปรอย

ข้อควรระวัง - ไม่ควรรับประทานยาเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการตกเลือดภายในช่องท้อง เหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก

กลับมาที่คำถามของคุณ ให้ดูที่ตัวยาสำคัญครับ หากเป็นตัวยา Levonorgestrel ปริมาณ 750 ไมโครกรัมต่อเม็ด จะเป็น 2 เม็ดต่อกล่องครับ หรือบางยี่ห้อจะเป็น 1500 ไมโครกรัมต่อเม็ด ก็จะมีเพียง 1 เม็ดต่อกล่องครับ ประสิทธิภาพของตัวยาไม่แตกต่างกันครับ ข้อดี ข้อเสียดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นครับ

ขอแนะนำเพิ่มเติม หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ วิธีการสวมถุงยางอนามัยจะเหมาะสมที่สุดครับ เพราะนอกจากช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบชนิด บี/ซี หรือหากโชคร้ายสุดคือ ไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด และยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - human Papillomavirus) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่ / มะเร็งองคชาติในเพศชายได้อีกด้วย
หรืออาจพิจารณาเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด หรือยาฝังคุมกำเนิด สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาความเหมาะสมกับคุณอีกครั้ง
เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)

แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา

สูตินรีแพทย์

ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel)

เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร

การคุมกำเนิด (Contraception)

แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
สูตินรีแพทย์