กระดานสุขภาพ

ตุ่มใสๆและแผลคล้ายๆร้อนในที่อวัยวะเพศ
Anonymous

10 พฤศจิกายน 2560 09:29:06 #1

มีตุ่มใสๆขึ้นด้านในแคมเล็ก ส่วนตรงกลางบางจุดเป็นตุ่มใส บางจุดเป็นแผลคล้ายๆร้อนใน อยากทราบเบื้องต้นว่าเป็นอะไร มีวิธีปฏิบัติเบื้องต้นยังไง เนื่องจากตอนนี้ทำงานลงพื้นที่ต่างจังหวัดยังไม่สะดวกพบแพทย์ได้ ชี้แจ้งรายละเอียดนิดนึงนะคะ พอดีว่า มีอะไรกับแฟนเมื่อต้นเดือน พย. ที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ได้มีมา 6 เดือนก่อน โดยที่ไม่ได้ใส่ถุงยาง ปกติถ้ามีอะไรกันเกิน 2 รอบ จะรู้สึกเจ็บแสบๆฟิตๆเหมือนมันจะฉีก(บางครั้งมันฟิตมากก็ทำรุนแรงอยู่บ่อยๆ) แต่ 1 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่ล่าสุดคือ เจ็บไม่หาย วันถัดไปมีตกขาวสีขาวเหมือนนมบูด กลิ่นบูดๆ เป็นอยู่ 2 วัน มีอาการคันยิบๆแต่ไม่ถึงกับอยากเกา เจ็บนิดๆเหมือนคนใส่เกงในคับๆอึดอัดรั้งตรงอวัยวะเพศมากไป 5 วันต่อมาสงสัยว่าทำไมไม่หายเลยส่องกระจกดู ก็เห็นเป็นตุ่มใสๆและสภาพคล้ายแผลร้อนใน ถ้าไม่เอาทิชชูเช็ดแรงๆก็ไม่เจ็บ แบบว่าเจ็บพอรำคาญความรู้สึกเหมือนระคายเคือง แต่สภาพที่เห็นมันไม่ใช่ ปล. ตลอด 3ปีที่คบกับแฟน ไม่เคยมีอะไรกับคนอื่นเลย ทุกครั้งก่อนและหลังทำก็จะอาบน้ำทำความสะอาด แต่น้อยครั้งที่จะใส่ถุงยาง รู้สึกผิดกับตัวเองที่ไม่ยอมป้องกัน ส่วนแฟนอยู่ในค่ายทหารไม่น่าจะไปมีอะไรกับใครได้
อายุ: 27 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 45 กก. ส่วนสูง: 158ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.03 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

11 พฤศจิกายน 2560 17:29:01 #2

อาการตกขาวคันที่พบน่าจะเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอดโดยเฉพาะเชื้อรา เพราะคุณมีลักษณะตกขาวคล้ายนมบูดและมีกลิ่นไหลออกมาทางช่องคลอดด้วย ส่วนอาการเจ็บแสบที่บริเวณอวัยวะเพศและมีตุ่มน้ำใสมีสภาพคล้ายแผลร้อนใน น่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม ซึ่ง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะทำให้เกิดอาการมีแผลอักเสบเป็นตุ่มน้ำใสเมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะมีลักษณะคล้ายแผลร้อนในอาจจะมีอาการไข้ต่างๆมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต รู้สึกไม่สบายตัวได้ การติดเชื้อไวรัสเริมนั้นเกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex ซึ่งเป็นไวรัส ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดอาการแผลร้อนในที่บริเวณมุมปาก ถ้ามี oral sex ก็อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อนี้ได้เช่นกัน ควรไปสอบถามแฟนว่ามี อาการดังกล่าวร่วมด้วยหรือไม่ การรักษานั้นจะต้องใช้ยาต้านไวรัสกลุ่ม อะไซโคลเวียร์ ซึ่งจะมีทั้งชนิด รับประทานและทาภายนอกร่วมด้วย นอกจากนี้ จะต้องปฏิบัติตัวให้ถูกวิธีโดยการสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการรับเชื้อเพิ่ม ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่ามีการติดเชื้อไวรัสเริมหรือไม่ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในจะได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ