กระดานสุขภาพ

ขอคำแนะนำการใช้ชีวิตคู่กับผู้เป็นโรคเริมชนิดที่ 2
Anonymous

12 มีนาคม 2556 22:25:41 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ดิฉันมีอาการเริมครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนนี้ค่ะ ดิฉันไปหาหมอสูติฯที่โรงพยาบาล คุณหมอให้ขึ้นขาหยั่งดูแผล ถามอาการ แล้วก็วินิจฉัยออกมา ดิฉันได้ทานยาต้านไวรัสไป 10 วัน พร้อมกับใช้ยาทาด้วย คุณหมอก็นัดมาพบอีกครั้งเพื่อดูอาการ ซึ่งตอนนั้นหายดีแล้ว ดิฉันก็ได้ถามคำถามหลายหลายที่คาใจ จริงๆก็ถามคุณหมอหลายที่ค่ะ แต่บางคำถามตอบไม่ตรงกันซึ่งทำให้ดิฉันแปลกใจมาก เลยฝากคำถามมาถามคุณหมออีกทีค่ะ

ดิฉันมีแฟนมาแล้ว 2 คน คนแรกคบได้ 2 ปี แล้วเลิก หลังจากนั้นอีกประมาณเกือบปี ดิฉันก็มีแฟนคนที่ 2 ซึ่งเป็นคนปัจจุบัน เราคบกันมาได้ 4 ปีกว่าคะ

1.คุณหมอ 2 ท่าน บอกว่าดิฉันติดโรคนี้มาจากแฟนคนปัจจุบัน เพราะคนเก่าไม่น่าเป็นไปได้ ระยะเวลาที่จะเกิดอาการของโรคนี้มันห่างเกินไป แต่แฟนคนปัจจุบันยืนยันว่าเค้าไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อนเลยนะคะ เค้าบอกว่าเค้าเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหลายครั้งก็จริง แต่ตรวจสุขภาพทุกปีก็ไม่พบอะไร หรือเป็นไปได้ไหมว่าเป็นโรคนี้แต่ไม่แสดงอาการเลย ส่วนแฟนคนเก่าเค้าก็ไม่ได้บอกว่าเคยเป็นไหม แต่เค้าบริจาคเลือดทุกเดือนเลยค่ะ และก็ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีด้วย
ปัญหาคือตอนนี้แฟนคนปัจจุบันไม่มั่นใจในตัวดิฉัน เพราะเค้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้เลย ดิฉันหายจากโรคนี้มาหลายอาทิตย์แล้ว เค้ายังไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์กับดิฉันเลยค่ะ

2.คุณหมอที่รักษาดิฉันบอกว่าถ้าหายดีแล้วก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กับแฟนได้ตามปกติ ไม่ต้องใช้ถุงยาง ยกเว้นช่วงที่เริ่มมีอาการของโรคอีกครั้ง 

3.ดิฉันกังวลว่าแฟนของตัวเองจะมีเชื้อนี้อยู่ไหม ก่อนที่ดิฉันจะเป็นโรคนี้หลายปี คือตั้งแต่คบกันมาดิฉันทานยาคุมบ้าง ใช้ถุงยางบ้าง และเคยมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่มีการป้องกันใดๆในช่วงที่มีรอบเดือนบ้างค่ะ ดิฉันเข้าใจว่ามันจะแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนเฉพาะตอนที่เริ่มมีอาการใช่ไหมคะ หรือมันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ทั้งๆที่ไม่เคยมีอาการมาก่อน 

4.ดิฉันเห็นข้อมูลในเว็บหลายที่เขียนไว้ว่าถึงจะหายดีแล้วก็ควรใช้ถุงยางเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค แล้วถ้าคนเป็นเริม(หายดีแล้ว)กับคนไม่เป็นเริมอยากมีลูกด้วยกันล่ะ คนที่ไม่เป็นเริมก็ต้องรับความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเริมไปโดยปริยายใช่ไหมคะ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตของคนเป็นเริมก็ไม่ปกติแล้วสิ แล้วใครจะอยากแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยล่ะคะ

5.ข้อมูลในเว็บบอกว่าคนเป็นเริมก็สามารถบริจาคเลือดได้ แต่ต้องเป็นช่วงปลอดเชื้อ หมายถึงไม่มีอาการของโรค อย่างนี้ถูกต้องใช่ไหมค่ะ

6.ถ้าหายดีแล้วสามารถทำออรัลเซ็กซ์ได้ไหมคะ 

7.คุณหมอมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมไหมคะ ดิฉันกับแฟนกลุ้มใจมากค่ะ 

 

ขอบพระคุณคุณหมอค่ะ

 

อายุ: 25 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 47 กก. ส่วนสูง: 156ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.31 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

12 มีนาคม 2556 23:11:11 #2

เพิ่มเติมข้อมูลค่ะ

8.ก่อนหน้าที่ดิฉันจะเกิดโรคครั้งแรก เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนปัจจุบันโดยที่ไม่ป้องกันหลายครั้ง และมีอยู่หลายครั้งที่มีเพศสัมพันธ์แล้วอวัยวะเพศของดิฉันถลอก บางทีก็มีเลือดออกมานิดๆด้วย ดิฉันบอกแฟนเรื่องนี้ทุกครั้ง แต่แฟนดิฉันก็ปกติดี ไม่มีการถลอก ก็คือทุกครั้งที่เป็นแบบนี้จะเป็นช่วงที่เว้นจากการร่วมเพศกันระยะหนึ่งเพราะงานยุ่งๆทั้งสองคนค่ะ กรณีอย่างนี้เท่ากับแพร่เชื้อโรคเริมได้ไหมคะ หรือเฉพาะช่วงที่เกิดอาการของโรคเท่านั้นถึงจะแพร่เชื้อได้ เพราะตอนนั้นยังไม่เริ่มเกิดโรคค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

13 มีนาคม 2556 17:27:28 #3

หมอขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้นะครับ โรคเริมเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งครับ ที่ชื่อว่า Herpes simplex ซึ่งตำแหน่งที่พบการติดเชื้อบ่อยเป็น บริเวณริมฝีปาก และ บริเวณอวัยวะเพศครับ โดยการรักษาจะเป็นการให้ยาทานต้านไวรัสและอาจทาร่วมด้วย แต่โรคนี้ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสเริมได้อย่างเด็ดขาดครับ เนื่องจากเชื้อไวรัสจะมีระยะพักตัว โดยจะพักตัวอยู่ในเส้นประสาท และสามารถมีอาการกลับมาเป็นได้ซ้ำอีก หากมีปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง สุขภาพอ่อนแอ ทรุดโทรม ไม่ค่อยสบาย มีความเครียด กังวล การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศร้อน แสงแดด หรือในบางคนก็พบในช่วงประจำเดือนได้ โดยหากช่วงที่มีอาการตุ่มน้ำใสน้้ัน จะสามารถติดต่อกันได้ทางการสัมผัสโดยตรง เช่น การใช้แก้วน้ำร่วมกัน จูบสัมผัส การมีเพศสัมพันธ์ สัมผัสสิ่งของที่ผู้มีเชื้อใช้ เช่น ผ้าเช็ดตัว เป็นต้นครับ

แต่ถ้าในช่วงที่ไม่มีอาการของโรค ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ใช้ชีวิตได้ตามปกติและก็สามารถมีบุตรได้ครับ แต่ในช่วงที่มีอาการก็ควรงดเพศสัมพันธ์และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง และหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานยาต้านไวรัสจะช่วยให้อาการเป็นน้อยและหายเร็วขึ้นครับ

หากถามว่า โรคนี้ติดจากใคร อาจไม่สำคัญนะครับ เพราะในบางครั้งอาจติดแล้วอาจไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยถ้าหากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ดังนั้น หมอขอให้สบายใจและไม่ต้องกังวลกับโรคที่เป็นจนทำให้มีปัญหากันนะครับ การที่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องนั้น อาจทำให้มีความเข้าใจกันได้ อาจลองพาสามีมาพบแพทย์ท่านด้วยนะครับ ท่านจะได้ให้ข้อมูล จะได้สบายใจครับ

Anonymous

13 มีนาคม 2556 23:45:17 #4

ขอบคุณค่ะคุุณหมอ

แฟนไม่สบายใจมากค่ะ ตั้งแต่ดิฉันหายมาได้แล้วหลายสัปดาห์ เค้าก็กังวลจนไม่ได้นอนด้วยกันมาตั้งแต่วันที่ดิฉันหายดีแล้ว เค้าก็ยืนยันหนักแน่นว่าตัวเองไม่เคยมีอาการเหล่านี้เลยในชีวิต พอทราบว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทั้งยังไม่มีวัดซีนป้องกัน เค้าก็ยิ่งกังวล ดิฉันก็ได้แต่บอกไปว่ามันคล้ายโรคหวัดที่เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายเรา รักษาไม่หายขาด พอร่างกายอ่อนแอ แต่งกายไม่อบอุ่น หรือมีปัจจัยอื่นๆ ก็จะทำให้เป็นหวัดขึ้นมาแล้วถึงตอนนั้นก็สามารถแพร่เชื้อหวัดได้ในช่วงนี้ พอหายหวัดก็แพร่เชื้อไม่ได้แล้ว เราก็ใช้ชีวิตปกติได้สบายๆ แต่อืมม ไม่ทราบว่าดิฉันยกตัวอย่างแบบนี้มันถูกต้องไหมค่ะ ดิฉันอยากจะอธิบายให้ง่ายและเห็นภาพทั้งหมด เค้าจะได้สบายใจขึ้น ส่วนตัวดิฉันก็หาข้อมูลมาพอสมควรแต่ก็ยังมีคำถามที่สงสัยอยู่ แต่ตอนนี้ได้รับความกระจ่างแล้ว

ดิฉันเห็นในบางเว็บบอกว่าผู้หญิงที่เป็นเริมมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าปกติ อีกเว็บก็บอกว่าเป็นความเข้าใจผิด โรคเริมตกเป็นจำเลยในเรื่องนี้มาหลายสิบปี ซึ่งจริงๆแล้วไม่เกี่ยวกัน คุณหมอคิดว่ายังไงค่ะ

และมีเว็บหนึ่งบอกว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วอาการเริมดีขึ้นจนหายเลย ดิฉันเข้าใจว่าอาการเริมน่าจะหายไปเองมากกว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับมะพร้าว หรือคุณหมอคิดว่าคนที่เป็นเริมควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไหนบ้างค่ะ 

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

14 มีนาคม 2556 16:07:48 #5

การติดเชื้อเริม ไม่มีความเกี่ยวข้องแน่นอนในเรื่องจะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกเพื่ิมสูงขึ้น เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสคนละตัวกัน แต่ ทั้งสองเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ข้อมูลนี้ อาจอธิบายได้ว่า ในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงหรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีคู่เสี่ยงมาก ก็อาจมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อทั้งสองมาครับ

ส่วนน้ำมะพร้าวอาจไม่มีผลนะครับ ตัวโรคนี้ ให้มองคล้ายกับการเป็นหวัดก็ได้ครับ เพราะ เป็นการติดเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน เมื่อพักผ่อนเพียงพอ ร่างกายแข็งแรง อาการก็จะดีขึ้นครับ การทานอาหารก็ปกติครับ ไม่มีอาการอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นพิเศษครับ

Anonymous

15 มีนาคม 2556 00:27:43 #6

ให้แฟนอ่านที่คุณหมอตอบแล้วค่ะ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ

ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ ^ ^