กระดานสุขภาพ

มีต่มในปลายท่อ อวัยวะเพศครับ ตุ่มแตกแล้วเลือดออก
Anonymous

8 พฤษภาคม 2560 04:23:19 #1

จากเป็นหนองในเทียม ครั้งที่สอง และ กินยา ไซซีม และ ฟลอคทิล 250

http://haamor.com/media/images/webboardpics/c324f-36338-1.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/c324f-36338-2.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/c324f-36338-3.jpg

อายุ: 23 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.30 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

10 พฤษภาคม 2560 10:13:55 #2

เนื่องจากรูปที่ส่งมาไม่ค่อยชัด อาการปัสสาวะแสบและมีหนองเป็นอาการบ่งชี้ว่ามีการอักเสบของท่อปัสสาวะ ซึงถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ เช่นเที่ยวผู้หญิง มีคูนอนหลายคน หรือคู่นอนมีความเสี่ยง และไม่ใช้ถุงยางอนามัย ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคหนองในแท้หรือหนองในเทียม โรคหนองในเกิดจากเชื้อ แบคทีเรียที่เรียกว่า Neisseria gonorrhoeae ประมาณ 50% พบว่ามีการติดเชื้อหนองในเทียมร่วมด้วยซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Chlamydia tracomatis การรักษาต้องรักษาทั้ง 2 โรคไปพร้อมกัน ยาที่ดีที่สุดสำหรับโรคหนองใน คือ Ceftriaxone เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพก ขนาดที่ใช้คือ 250 มิลลิกรัม เข็มเดียวได้ผล 95-100 % สำหรับหนองในเทียมให้ใช้ doxycycline กินครั้งละ 100 มิลลิกรัม เช้า เย็น นาน 2 อาทิตย์ หรือ azithromycin ขนาด 250 มิลลิกรัม กินครั้งเดียว 4 เม็ด (1 กรัม) ต้องรักษาคู่นอนด้วย แต่ถ้าแน่ใจว่าทั้งคุณและแฟนไม่มีความเสี่ยง ก็อาจเป็นไปไดว่ามีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ หรือเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ ท่อไต ส่วนตุ่มน้ำในท่อปัสสาวะก็อาจจะเป็นการติดเชืีอไวรัสเริม จากเชื้อไวรัส Herpes simplex ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง โดยสรุป ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยง แนะนำว่าคงต้องหาหมอศัลยกรรมระบบสืบพันธ์และทางเดินปัสสาวะเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาตามสาเหตุ