กระดานสุขภาพ

แคนดิด้ารักษาหายขาดไหม
Anonymous

25 มีนาคม 2560 13:44:35 #1

คือผมเคยไปตรวจที่สถาบันโรคผิวหนังเมื่อ3-4ปีที่แล้ว ผมเป็นเชื้อราแคนดิด้า ได้ยามา ทาบ้างไม่ทาบ้าง เพราะหมอบอกว่าโรคนี้ไม่หายขาด ผมก็เลยทายาเฉพาะตอนที่มีจุดแดงๆขึ้นตามหัวอัวยเพศ ถ้าไม่ขึ้นก็ไม่ทา
แต่ระยะหลังมา เวลามีเพศสัมพันธ์ และผมใส่ถุงยางทุกครั้ง แฟนมักจะบอกว่าหลังมีอะไรกันมักจะคันมาก ทำให้แฟนไม่ค่อยชอบที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผมก็เดาได้ว่ามาจากทางผมแน่นอน 
ผมจึงอยากสอบถามหมอว่า โรคเชื้อราแคนดิด้านี้ สามารถรักษาให้หายขาดได้ไหมครับ และควรปฏิบัติยังไง ตอนนีเ ยาที่ใช้รักษาที่ได้จากสถาบันโรคผิวหนัง ชื่อยา Fango อยากทราบว่าหมอพอจะแนะนำยาทาหรือกินที่สามารถซื้อได้ตามร้านยาไหมครับ ไปตามร้านยาชอบขายยาไม่ตรงกับโรคนี้มาหลายหลอดแล้วครับ  ขอบคุณครับ

อายุ: 30 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 84 กก. ส่วนสูง: 173ซม. ดัชนีมวลกาย : 28.07 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

28 มีนาคม 2560 02:15:03 #2

ถ้าทั้งตัวคุณและแฟน ต่างก็ไม่มีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ คือ ไม่ได้มีเพศสัมพันธุ์กับคนอื่นหรือมีก็ใช้ถุงยางทุกครั้ง อาการที่เล่ามาน่าจะเกิดจากการระคายเคืองสารที่มาสัมผัส เช่น สบู่ เจลอาบน้ำ น้ำยาต่างๆที่ใช้บริเวณนี้ ร่วมกับความอับชื้น จึงเป็นจุดแดงๆและค่อนข้างแห้ง และอาจมีเชื้อราร่วมด้วย แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เช่นสบู่เด็ก ล้างเบาๆแล้วซับให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ ทายาที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ชนิด triamcinolone 0.02% + ยาเชื้อรา clotimazoleทาบางๆ เช้าและก่อนนอนหลังอาบน้ำ น่าจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ถ้าไม่ดีขึ้นหรือไม่แน่ใจแนะนำหาหมอ ในกรณีที่เป็นบ่อยอาจต้องระวังความอับชื้นและงดใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้และถ้าหนังหุ้มยาวเกินไปอาจต้องขลิบเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น การขลิบหนังเป็นการทำศัลยกรรมที่ถือว่าไม่ซับซ้อน แพทย์ศัลยกรรมทั่วไปทำได้ครับ ต้องมีการฉีดยาชา ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงน่าจะเสร็จ ถ้ารักษาแผลให้ดี ประมาณ 2 อาทิตย์ แผลก็จะหายดี ส่วนแฟน ถ้ามีอาการตกขาว คันในช่องคลอด ก็อาจเป็นเชื้อราด้วย ในกรณีนี้แนะนำตรวจภายใน ถ้าเป็นเชื้อราก็รักษาโดยใช้ยากินหรือยาสอดช่องคลอด ไม่เช่นนั้นก็อาจจะติดกันๆปติดกันมา ส่วนสาเหตุที่ทำให้เป็นเชื้อราบ่อย นอกจากความอับชื้นแล้ว อาจมีสาเหตุอื่น เช่น เป็น โรคเบาหวาน หรือกินยาแก้อักเสบเป็นประจำ หรือมีภาวะภูมิต้านทานต่ำ ในกรณีของคุณที่เป็นบ่อย ก็อาจจะต้องตรวจว่ามีภาวะผิดปกติอื่นใดหรือไม่