กระดานสุขภาพ

เริม
Anonymous

11 มกราคม 2560 05:28:43 #1

ปัจจุบันกลับมาเป็นเริมซ้ำ เนื่องจาก ทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อย และพักผ่อนไม่เพียงพอ ครับ อยากถามคุณหมอ ดังนี้

1. ผมทานยา Acyclovir 400MG ครั้งละ 1 เม็ต ทุกๆ8ชม ติดต่อกัน 5 วัน แล้ว หยุดทาน แบบนี้ถูกไหมครับ

2. ถ้าผมหายแล้ว แต่อยากทานยาต่อไปอีก เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดซ้ำ ควรทานยายังไงครับ พอดีเห็นข้างกล่องยา แนะนำให้ ทานวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 12 เดือน ถ้าทานยาติดต่อกันนานๆ จะมีผลต่อร่างกายไหมครับ เช่น ตับหรือไต  

3.การเป็นเริม มันอันตรายไหมครับ ทุกครั้งที่ผมเป็นจะไม่ค่อยเจ็บหรือคัน เท่าไร ใช้เวลา 1 อาทิตย์กว่าๆ จะหายไปเองครับ

อายุ: 33 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 61 กก. ส่วนสูง: 171ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.86 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

14 มกราคม 2560 15:53:02 #2

เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไป แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง สำหรับเรื่องการติดต่อนั้นโดยทั่วไปแล้ว จะติดต่อกันได้ง่ายขณะที่มีรอยโรค เช่น ตุ่มน้ำ หรือขณะที่มีแผล ส่วนเรื่องการรักษานั้น กินยา aciclovir ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 7-10 วัน ในกรณีที่เป็นบ่อยมาก เช่น เป็น ตั้งแต่ 8-10 ครั้งใน 1ปี สามารถกินยาเพื่อให้เป็นน้อยครั้งลง โดยการกินยา aciclovir ครั้งละ 400 มิลลิกรัม เช้าเย็นต่อเนื่องกันทุกวัน เป็นเวลา 6-12 เดือน อาจจะช่วยให้เป็นน้อยลง เช่นเหลือปีละ 2-3 ครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากหยุดยาต้องประเมินว่ากลับเป็นบ่อยขึ้นอีกหรือไม่ ถ้าบ่อยขึ้น ก็พิจารณากินยาต่อไปอีกได้ ยานี้ค่อนข้างปลอดภัย อาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับได้ แต่พบไม่บ่อย ถ้าไม่แน่ใจ แนะนำหาาหมอครับ